แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ตีกลับร่างสัญญาสัญญาทางด่วน กรณีการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จะขยายสัญญา 30 ปี ใน 3 สัญญา ให้กับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) บริษัทลูกของ ช.การช่าง และบริษัทแม่ของ บจ.ทางด่วนเหนือ (NECL) เพื่อยุติข้อพิพาททางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด ที่ศาลปกครองมีคำสั่งให้ กทพ.จ่ายชดเชยให้ NECL วงเงิน 4,318 ล้านบาท และยุติข้อพิพาทที่มีต่อกันทั้งหมดคิดเป็นมูลค่า 5.9 หมื่นล้านบาท
เนื่องจากอัยการสูงสุดมีข้อสังเกตมา 4-5 ประเด็นที่ดูแล้วเป็นสาระสำคัญที่ กทพ.จะต้องไปดำเนินการ เช่น การเจรจาดำเนินการเป็นไปตาม พ.ร.บ.รวมทุนฯหรือไม่ เนื่องจากการขยายสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 ที่จะครบกำหนดวันที่ 28 ก.พ.2563 คนละเรื่องกับการแพ้คดีข้อพิพาททางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด จะนำมาเหมารวมกันไม่ได้ การคิดปรับค่าผ่านทาง 10 บาท 10 ปีจะมีผลกระทบต่อประชาชนหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งต้องรอให้รัฐมนตรีคมนาคมคนใหม่และรัฐบาลใหม่มาพิจารณาต่อไป
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
ผู้สื่อข่าวรายงานวา สำหรับผลเจรจาที่ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการ (บอร์ด) จะขยายสัมปทาน 30 ปี ใน 3 สัญญา ได้แก่ 1.ทางด่วนขั้นที่ 2 จากเดิมสิ้นสุด มี.ค. 2563 เป็น มี.ค. 2593 2.ทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วนดี จากเดิม เม.ย. 2570 เป็น เม.ย. 2600 และ 3.ทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด จากเดิม ก.ย.2569 เป็น ก.ย. 2599
นอกจากนี้ยังมีปรับค่าผ่านทางแบบคงที่ในอัตรา 10 บาท ทุก 10 ปี กทพ.จะได้รับส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทาง 60% ตลอดอายุสัญญา และ BEM จะลงทุน 31,500 ล้านบาท สร้างและปรับปรุงทางด่วนขั้นที่ 2 เป็นทางด่วน 2 ชั้น จากด่านประชาชื่น-อโศก ระยะทาง 17 กม. แก้รถติด