เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2562 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ2563 ร่วมกับสำนักงบประมาณ และประชุมผู้บริหารประจำเดือนกรกฎาคม 2563
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า แนวทางจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 จากเดิมที่กระทรวงยื่นคำขอไป จำนวน 420,000 ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณให้นำกลับมาทบทวนใหม่ให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยให้เสนอโครงการที่มีความพร้อมดำเนินงานจริงๆ เช่น ผ่านการอนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA) ถ้าไม่พร้อมก็อย่ามาขอเลย ทั้งโครงการใหม่และโครงการเก่าที่ยังแก้ปัญหาไม่จบ เพราะจะมาเป็นลดทอนการทำงานของหน่วยงานเอง และทำให้การของบประมาณในปีถัดๆไปไม่ได้รับการพิจารณา และจะต้องไม่เป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่เกินไป จนไม่มีงบประมาณมาก่อสร้าง โดยการเดินหน้าโครงการจะใช้แหล่งเงินจากทุกแหล่ง รวมถึงการให้เอกชนร่วมลงทุนPPP เช่น มอเตอร์เวย์นครปฐม-ชะอำ รถไฟฟ้าสายสีส้ม
นอกจากนี้สำนักงบประมาณยังสอบถามถึงโครงการใหม่ตามนโยบายของรัฐบาล ได้แจ้งไปว่ามีเรื่องที่เป็นวิสัยทัศน์ของกระทรวงอยู่ 5 เรื่อง อาทิ การให้บริการประชาชนให้มีความสะดวกสบาย ปลอดภัย แก้ปัญหาภาระค่าครองชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต การพัฒนาขนส่งทางรางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางรางเป็น30%
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
“แต่สิ่งที่จะเน้นย้ำกับสำนักงบประมาณคือ นโยบายการช่วยเหลือเกษตรผู้ปลูกสวนยาง โดยบูรณาการหน่วยงานก่อสร้างในสังกัดคมนาคมไปดูว่าจะใช้น้ำยางพารามาปรับรูปแบบกับโครงการก่อสร้างได้อย่างไรบ้าง นอกจากผิวถนนแล้ว เช่น แบลิเออร์ หลักกันโค้ง อุปกรณ์ทำถนน หมอนรางรถไฟ เพื่อสร้างดีมานด์การใช้น้ำยาง ทั้งหมดจะทำแผนงานโครงการในงบประมาณปี2563 และนำข้อมูลเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและจะMOUกับกระทรวงเกษตรเพื่อร่วมกันพลักดันโครงการโดยให้สหกรณ์การเกษตรเป็นตัวกลาง”
ยังนำเสนอการใช้การคมนาคมทางน้ำมาเป็นขนคนและสินค้า เช่น ในแม่น้ำเจ้าพระยา มีโครงการปรับปรุงก่อสร้างท่าเรือโดยสารเพิ่มเชื่อมต่อกับการขนส่งอีกหลายประเภทที่มีอยู่ ส่วนเรื่องอื่นเป็นเรื่องในแผนงานปกติอยู่ ทั้งนี้ให้หน่วยงานเสนอโครงการที่ใช้งบประมาณเกิน 1,000 ล้านบาท มาภายในวันที่ 2 ส.ค.เพื่อเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 6 ส.ค. 2562 และโครงการที่ใช้งบประมาณไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ให้เสนอภายในวันที่ 6 ส.ค.2562
นายศักดิ์สยามกล่าวอีกว่า ส่วนการประชุมประจำเดือนกับหัวหน้าหน่วยงาน ได้เน้นย้ำการรายงานเหตุการณ์สำคัญและการแก้ไขปัญหา เมื่อมีเหตุการณ์เร่งด่วนขอให้รายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทันที โดยให้แต่ละหน่วยไปขันน็อตการรายงานผลการปฏิบัติงานจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายเป็นปกติ เช่น กรณีแอร์พอร์ตลิงก์เสียเมื่อวาน(30 ก.ค.)ก็ต้องรายงานให้ทราบด้วย
การดำเนินงานยุทธศาสตร์ชาติด้าน Big Data ให้หน่วยงานในสังกัดคมนาคม ใช้ข้อมูลร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีฯ ให้ใช้ประโยชน์ร่วมกันทั้งประเทศ ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการติดต่อราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และบูรณาการข้อมูลร่วมกัน พร้อมกับให้วางแผนกำลังคนว่าอะไรขาดอะไรเกิน และอะไรจำเป็นที่ต้องมีการเตรียมคนเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่กำลังวางแผนพัฒนาในขณะนี้ และไม่ได้ดูแค่องค์กรตัวเอง ให้ดูไปถึงการร่วมลงทุนกับเอกชนด้วย เพื่อรวบรวมข้อมูลให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อส่งให้กระทรวงศึกษาจัดทำหลักสูตรพัฒนาคนมารองรับ
ขณะเดียวกันได้เน้นย้ำระบบ Safety & Security โดยขอให้ทุกโครงการให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัย ต้องมีการซ้อมแผนอย่างสม่ำเสมอและให้ทุกหน่วยงานพิจารณาจัดทำโครงการ CSR เพื่อคืนประโยชน์ให้สังคม
“ประชุมครม.ช่วงงบใช้ไม่ทัน แน่ๆงบประจำไม่มีปัญหา ส่วนอื่นๆใช้งบปี 62 ใช้ไปก่อนได้ แต่เราพยายามทำตามกรอบเวลาทุกอย่าง แต่ปีนี้กว่าจะมีรัฐบาลทำให้เกิดการคร่อมงบประมาณ แต่ปี 64 จะกลับมาสู่สภาวะปกติเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามการเดินหน้าประมูลโครงการใหม่ ต้องดูว่าได้รับอนุมัติงบประมาณหรือไม่ ก็ดำเนินการได้ ก็ทำตามขั้นตอของสำนักงบประมาณ แต่เม็ดเงินจะมีการเบิกจ่ายเมื่อไหร่ก็อีกเรื่องหนึ่ง”
นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในงบประมาณ 2563 กระทรวงได้ขอจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงแห่งใหม่ บริเวณย่านพหลโยธิน วงเงิน 3,710 ล้านบาท จะยืนยันกลับไปยังสำนักงบประมาณว่าจะเสนอขอจัดสรรโครงการนี้ด้วย เนื่องจากได้มีการออกแบบและขอเช่าพื้นที่จากการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.)ไว้แล้ว แบ่งเป็นปีงบประมาณ 2563 จำนวน 741.61 ล้านบาท ปี 2564 จำนวน 1,484.22 ล้านบาท และปี 2565 จำนวน 148.22 ล้านบาท