ศักดิ์สยาม ตั้งปลัดดูข้อมูลขยายสัมปทานทางด่วน-ยุติข้อพิพาท

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษากรณีการจะขยายสัมปทานทางด่วนให้กับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) เพื่อยุติทุกข้อพิพาท โดยมอบให้นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานพิจารณาข้อมูลตั้งแต่ผลการศึกษา การกำหนดทีโออาร์ สัญญา และการปฎิบัติตามสัญญาให้เวลาในการพิจารณา 15 วัน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา

รายงานข่าวแจ้งว่า นายศักดิ์สยามได้ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ไปให้ข้อมูลนอกรอบบ้างแล้ว โดยให้เล่าถึงที่มาที่ไปให้ฟัง แต่ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มที่การดำเนินการจะออกมาให้เจรจายุติข้อพิพาทกับ BEM ใหม่

“ถ้าแยกต่อที่ละสัญญา ปัญหาคือมูลหนี้ข้อพิพาททางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด ที่ กทพ.จะต้องชดเชยไม่ใช่แค่ 4,381 ล้านบาท เพราะข้อพิพาทที่ศาลตัดสินเฉพาะปี 2542-2543 แต่ว่ายังมีคดีข้อพิพาทด้านทางแข่งขันอีก คิดเป็นมูลหนี้ถึงสิ้นปี 2561 อยู่ที่ 78,908 ล้านบาท“

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลการเจรจาระหว่าง กทพ. และ BEM ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ (บอร์ด) กทพ.แล้ว ประกอบด้วย 1.ขยายระยะเวลาสัมปทาน 3 โครงการ 30 ปี แยกเป็นทางด่วนขั้นที่ 2 จากเดิมสิ้นสุด 1 มี.ค. 2563 เป็น มี.ค. 2593 ทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วนดี จากเดิม เม.ย. 2570 เป็น เม.ย. 2600 และทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด จากเดิม ก.ย. 2569 เป็น ก.ย. 2599 ภายใต้เงื่อนไขโครงการทางด่วน 2 ชั้น (double deck) ที่ BEM จะลงทุน 31,500 ล้านบาท ก่อสร้างจากด่านประชาชื่น-อโศก ระยะทาง 17 กม. ภายใน 2 ปี หลังโครงการนี้ได้รับอนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) 2.ปรับค่าผ่านทางแบบคงที่ในอัตรา 10 บาท ทุก 10 ปี 3.กทพ.จะได้รับส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทาง 60% 4.พื้นที่ใต้ทางด่วนเป็นกรรมสิทธิ์ของ กทพ.


ทั้งนี้การลงนามในสัญญาสัมปทานจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ให้ ครม.มีมติอนุมัติโครงการในภาพรวมแต่การลงนามสัญญาจะเซ็นสัญญาส่วนที่ 1 เพื่อยุติข้อพิพาท โดยขยายระยะเวลา 15 ปี และส่วนที่ 2 การก่อสร้าง Double Deck จะยังไม่มีการลงนาม จนกว่า EIA จะผ่านใน 2 ปี ถ้าไม่ผ่านทาง BEM จะได้ต่อขยายสัญญา 15 ปีเท่านั้น