นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ความคืบหน้าการต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนแลกข้อพิพาท บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) มูลค่า 59,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการคิดคำนวณค่าเสียหายว่ามีที่มาจากอะไร
ส่วนกระบวนการในการดำเนินการโครงการทั้งหมด ทำถูกกฎหมายหรือไม่ การบริหารโครงการเป็นอย่างไร และหากเกิดความเสียหายขึ้น ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะตอนนี้คณะทำงานที่มีนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานยังขาดเอกสารประมาณ 25-26 เรื่อง เช่น มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เกี่ยวข้อง, รายละเอียดสัญญาในโครงการต่างๆ เป็นต้น ซึ่งสั่งการให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ไปหาเอกสารที่เกี่ยวข้องกลับมารายงานภายใน 30 วัน คิดว่าภายในสิ้นปีนี้จะต้องทำให้จบ เพราะสัมปทานบางส่วนจะเริ่มหมดอายุในเดือน ก.พ. 2563 นี้แล้ว
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
“การเจรจาตั้งแต่ต้นตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า กทพ.จะแพ้คดีทั้งหมด แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว เราจึงมาดูให้เรียบร้อย ต้องมาดูโครงสร้างแต่ละสัญญาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร อยากทำให้เรียบร้อย เมื่อข้อเท็จจริงออกก็ค่อยเจรจากันใหม่ ถ้าต้องจ่ายตามที่ศาลมีคำพิพากษาก็จ่าย ส่วนจะเอาสัญญาที่ใกล้หมดอายุมาเปิดประมูลไปก่อนหรือไม่นั้น ค่อยว่ากันทีละขั้นตอนดีกว่า”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสัญญาทางด่วนที่กำลังจะหมดอายุสัญญาในปี 2563 มี 2 โครงการ คือ โครงการทางด่วนเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) ช่วงดินแดง – ท่าเรือ , บางนา – ท่าเรือ และท่าเรือ – ดาวคะนอง ระยะทางรวม 27.1 กม.และ โครงการทางพิเศษศรีรัช (ระบบทางด่วนขั้นที่ 2) 3 ส่วน ได้แก่ ส่วน A ช่วงถ.พระราม 9 – ถ.รัชดาภิเษก ระยะทาง 12.4 กม. ส่วน B ช่วงรัชดาภิเษก – บางโคล่ ระยะทาง 9.4 กม. และส่วน C ช่วงถ.รัชดาภิเษก – ถ.แจ้งวัฒนะ ระยะทาง 8 กม. มีบมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) เป็นคู่สัญญาทั้งสองโครงการ โดยทั้งสองโครงการจะหมดอายุสัมปทานในวันที่ 29 ก.พ. 2563 นี้
