พลัสฯ เปิด 6 เทรนด์อสังหาปี 2563 ชี้ดีเวลอปเปอร์จูบปากข้ามแบรนด์มากขึ้น

นางสาวสุวรรณี มหณรงค์ชัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนากลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2563 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกปีหนึ่งของวงการอสังหาริมทรัพย์ ท่ามกลางปัจจัยลลจากภาวะเศรษฐกิจ-กำลังซื้อชะลอตัว หนี้ครัวเรือนทรงตัวในระดับสูง ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หันมาให้ความสนใจกับไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดจากกลุ่ม Real Demand ซึ่งพบ 6 ปัจจัยหลักที่มาแรง และมีความน่าสนใจ ดังนี้

1.เทคโนโลยีเชื่อมต่อการอยู่อาศัย การเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้านและใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงอย่างแพร่หลาย ภาคอสังหาฯ เริ่มเปิดโครงการนำร่องที่มีการเชื่อมต่ออุปกรณ์สมาร์ทโฮมเข้ากับ AI และ IoT-Internet of Things เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียงบน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะประจำบ้าน ศูนย์ควบคุมการบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลางแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง

2.ลูกค้ากลุ่มเรียลดีมานด์ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองยังโตได้ โครงการแนวราบเริ่มมีบทบาทมากขึ้นเพราะตอบโจทย์เรียลดีมานด์ ขณะเดียวกันปี 2563 คาดว่าคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่แท้จริยังได้รับความนิยม เพราะได้รับแรงส่งจากการเปิดให้บริการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง ทั้งสายสีเขียว และสายสีน้ำเงิน สายสีทอง สายสีชมพู และสายสีเหลืองที่มีกำหนดเปิดบริการปี 2564

“ทำเลตามแนวรถไฟฟ้าสายสร้างใหม่มีคอนโดฯ ราคาต่ำกว่า 1 แสนบาท/ตารางเมตร หรือต่ำกว่า 3 ล้านบาท/ยูนิต สัดส่วน 70% ของโครงการใหม่ทั้งหมด ส่วนใหญ่ถูกพัฒนาบนพื้นที่กรุงเทพชั้นนอก ได้แก่ สุขุมวิทรอบนอก แจ้งวัฒนะ มีนบุรี รามอินทรา รัชดา-ลาดพร้าว

3.มิกซ์ยูสบุกตลาด การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบผสมผสานมีทั้งสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม และที่อยู่อาศัย เหมาะกับเมืองหลวงที่มีที่ดินในเขตใจกลางเมืองจำกัด โดยจากการสำรวจของพลัสฯ พบว่า ส่วนใหญ่ทยอยเปิดให้บริการปี 2561-2569 เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในเรื่องคุณภาพชีวิตคนทำงานในกรุงเทพฯ เนื่องจากมิกซ์ยูสมีจุดเด่นสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน การเดินทางสะดวกสบาย

4.การร่วมมือกันของแบรนด์ต่าง ๆ ไม่ได้จำกัดแค่การร่วมทุน JV-Joint Venture พัฒนาโครงการเท่านั้น แต่จะมีการดึงแบรนด์ไลฟ์สไตล์ต่างๆ เข้ามาเปิดบริการร่วมกัน เช่นคอนโดมิเนียมร่วมมือกับค่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสำหรับให้ลูกบ้านในโครงการเช่าใช้ร่วมกัน หรือการร่วมกับร้านสะดวกซื้อเข้ามาเปิดบริการแบบเดลิเวอรี่ให้กับลูกค้าในโครงการ เป็นต้น

5.เทรนด์ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปี 2563 มีการงดแจกถุงพลาสติกในห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ในภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีการตั้งเป้าหมายโครงการสีเขียวมากขึ้น ทั้งการใช้วัสดุก่อสร้างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วิธีการก่อสร้างที่เกิดเศษวัสดุน้อยที่สุด การนำเศษวัสดุจากการก่อสร้างรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ การนำสิ่งของเหลือใช้สำหรับจำกัดของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ หลายโครงการนำนวัตกรรมแปรรูปของเสียในโครงการให้เป็นปุ๋ย บางโครงการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้เป็นแปลงปลูกผักออร์แกนิกส์ ซึ่งสามารถนำปุ๋ยชีวภาพที่ผลิตขึ้นมาใช้ในแปลงผักส่วนกลางของโครงการ

6.Leasehold ที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการมีจำกัด ประกอบกับเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่นิยมอยู่แบบเป็นโสดมากขึ้น บวกกับโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุทำให้คนไทยเปิดใจรับโครงการรูปแบบสิทธิการเช่าหรือ Leasehold มากขึ้นกว่าเดิม มีราคาถูกกว่าการซื้อแบบโอนกรรมสิทธิ์ จุดขายทำเลอยู่ใจกลางเมือง รวมทั้งการขายแบบลีสโฮลด์ด้วยการเช่าระยะยาวทำให้ตอบโจทย์ลูกค้าต่างชาติที่ไม่ติดปัญหาโควต้า 49% เพราะไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์แต่อย่างใด

สุวรรณี มหณรงค์ชัย

นางสาวสุวรรณีกล่าวด้วยว่า พลัสฯ ยังได้สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคอสังหาฯ ยุคใหม่โดยโฟกัสสำรวจความรู้สึกปลอดภัยของที่อยู่อาศัย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ให้ความสำคัญกับการมีกล้องวงจรปิดที่ครอบคลุมพื้นที่ในโครงการ 2.มีสัญญาณกันขโมยหรือสัญญาณเตือนภัยหากเกิดการบุกรุก
3. มีรปภ.คอยตรวจ 24 ชั่วโมง 4. มีระบบประตูล็อกดิจิทัล และ 5. มีระบบคีย์การ์ดสำหรับเข้าอาคารหรือมีการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ


“ผลสำรวจจะเห็นได้ว่าความต้องการเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยเข้ามามีความสำคัญกับความรู้สึกของผู้ซื้อ แม้ว่ายังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ แต่ถือเป็นสัญญาณที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น”