แสนสิริเผย ยอดโอนครึ่งปีแรก 2.5 หมื่นล้าน มั่นใจไต่เป้าใหม่ 4.2 หมื่นล้าน

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างสูงจากกลุ่มลูกค้าทั้งในด้านการขายและโอนโครงการ โดยสร้างผลงานปิดการขายโครงการที่อยู่อาศัยไป 21 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 34,500 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังมีผลงานการโอนที่โดดเด่นทั้งในแนวราบและแนวสูง ล่าสุดบริษัทมียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่สร้างเสร็จสมบูรณ์และส่งมอบให้กับลูกค้าไปแล้ว 25,220 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นยอดการโอนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของแสนสิริ ทุบทุกสถิติการโอนที่เคยทำได้สูงสุด ทั้งในรอบครึ่งปีและรายไตรมาส โดยแบ่งเป็นยอดโอนในไตรมาสแรก 8,535 ล้านบาท และยอดโอนในช่วงไตรมาสสอง 16,685 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยอดโอน 2/2563 โครงการแนวราบเติบโตขึ้นจากปีก่อน 59% และโครงการคอนโดมิเนียมมียอดโอนโตกว่า 299% รวมถึง บริษัทยังมีจำนวน Secure โอนคอนโดมิเนียมที่สูงเกือบ 90% จากจำนวนยูนิตสร้างเสร็จประมาณ 10,000 ยูนิต ซึ่งนับเป็นอัตราส่วนที่ดีที่สุดในตลาดสำหรับการขายและการโอนในขณะนี้

โดยความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรก มาจากการขยับและเดินเกมเร็วนำหน้าคู่แข่ง การมีกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง ด้วยการคิดและนำเสนอโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้า อาทิ แคมเปญ มีเงินเดือนเริ่มต้น 18,000 บาทก็เป็นเจ้าของสิริ เพลส ได้ง่าย ๆ, โปรโมชั่น โปรลื่นปรื้ด และแคมเปญที่พัฒนาจาก customer insight อย่าง แสนสิริผ่อนให้ 24 เดือน รวมถึงการรุกการขายในทุกช่องทาง ผ่าน multi-channel เพื่อตอบโจทย์คนอยากมีบ้านในยุคโควิดในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้แสนสิริได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี

“ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ทำให้แสนสิริต้องเร่งการขายโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ให้เร็วกว่าแผนเดิม เพื่อแข่งขันกับสภาพตลาด (Speed to Market) รวมถึงการบริหารเงินสดในมือที่ดี (Cash is King) ยังส่งผลให้แสนสิริเป็นองค์กรที่มีสภาพคล่องสูง มีกระแสเงินสดที่มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้มียอดขายและยอดโอนถล่มทลาย สวนกระแสตลาดหดตัว นอกจากนี้ ยอดขายและยอดโอนที่ประสบความสำเร็จยังมาจากความแข็งแกร่งของแสนสิริ ในการเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงได้ในทุกระดับราคา สะท้อนความเชื่อมั่นในการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้านด้วยมาตรฐานการออกแบบและคุณภาพโครงการ ตลอดจนบริการหลังการขายหรือ Sansiri Service ที่สามารถครองใจผู้บริโภค”

นายอภิชาติ อธิบายว่า ความมั่นใจด้านความปลอดภัยจาก LIV-24 นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้กลุ่มลูกค้าเลือกแสนสิริ ยังรวมไปถึงความมั่นคงด้านการเงินจากการบริหารองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ผลงานการโอนยังมาจากการบริหารงานก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จากการรุกขยายการก่อสร้างที่อยู่อาศัยภายใต้ระบบพรีคาสต์ โดยได้เปิดตัวโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพกำลังการผลิต เป็น 1.2 ล้านตารางเมตรต่อปี เพื่อเตรียมส่งมอบที่อยู่อาศัยคุณภาพโดยได้เริ่มเดินหน้ากำลังการผลิตในไตรมาสแรกที่ผ่านมา พร้อมดันยอดโอนสู่เป้าหมายใหม่ 42,000 ล้านบาท

ในปีนี้กลุ่มบริษัทแสนสิริมีพันธกิจในการโอนส่งมอบที่อยู่อาศัยคุณภาพให้กับลูกค้าตามเป้าหมายการโอนใหม่ที่มีการปรับเพิ่มจาก 33,000 ล้านบาท เป็น 39,000 ล้านบาท และเป้าหมายล่าสุด 42,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นยอดการโอนที่สูงมากในอันดับต้นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมียอดโอนหลักจากโครงการคอนโดมิเนียม อาทิ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คาวะ เฮาส์เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101, เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธ์ และเดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง เป็นต้น

ยอดโอนโครงการแนวราบทั้ง บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม มิกซ์ โปรดักส์ และลักซ์ชัวรี โฮม ออฟฟิศ อาทิ บ้านแสนสิริ พัฒนาการ, เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา, เศรษฐสิริ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า 2, บุราสิริ พัฒนาการ, สิริ เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม3, สิริ เพลส เพชรเกษม-สาย 4 มิกซ์โปรดักส์ อณาสิริ บางใหญ่ และลักซ์ชัวรีโฮมออฟฟิศ ไทเกอร์ เลน เป็นต้น สามารถสร้างยอดโอนส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าได้กว่า 25,220 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดี่ยวกันของปีก่อน 152% และคิดเป็น 60% จากเป้าหมายการโอนใหม่ 42,000 ล้านบาท

ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจึงเหลือพันธกิจในการโอนส่งมอบที่อยู่อาศัยที่ต้องทำให้ได้ตามเป้าหมายอีก 16,780 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยกุญแจสำคัญที่จะผลักดันแสนสิริ ให้บรรลุเป้าหมายการโอนซึ่งจะผลักดันสู่รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น มาจากการโฟกัสโครงการแนวราบเป็น Strategic Flagship ควบคู่ไปกับการรักษายอดขายและยอดโอนโครงการคอนโดมีเนียม โดยในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังมีแผนโอนคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ อีก 5 โครงการใหม่ ได้แก่ เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่, XT เอกมัย โอกะ เฮาส์ และ ลา ฮาบานา หัวหิน เป็นต้น นอกจากนี้ แสนสิริยังมียอดขายรอโอนรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 4 ปี ประมาณ 53,500 ล้านบาท ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้แสนสิริได้ และเสริมความแข็งแกร่งในทุกสภาวะเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ แผนการเติบโตระยะยาว บริษัทมีแผนผลักดันยอดขายให้เติบโตสู่ 120,000 ล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปี ด้วยแผนรุกธุรกิจที่แข็งแกร่ง 3 แนวทาง ได้แก่ 1.แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่รัดกุมพร้อมปรับเปลี่ยนไปตามทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา โดยในช่วงครึ่งปีหลัง จากการประเมินภาพรวมสถานการณ์ต่าง ๆ บริษัทยังมีแผนเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่รองรับการเติบโตอีก 12 โครงการ มูลค่ารวม 16,700 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและมิกซ์โปรดักส์ 10 โครงการ มูลค่ารวม 14,100 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท


2.การบริหารสต็อกที่ดี ปัจจุบันแสนสิริ มีสินค้าพร้อมขายมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณที่มีความสมดุลในตลาด 3.การบริหารกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่ดี โดยการจัดสรรเงินหมุนเวียนในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อรวมกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากผลตอบรับในการปิดการขาย Subordinated Perpetual Bond ส่งผลให้ล่าสุดบริษัทมีสภาพคล่องในมือรวมเป็น 12,000 ล้านบาท ทำให้มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจและมีความแข็งแกร่งในทุกสภาวการณ์