“ฝันร้ายโรงแรมภูเก็ต” นักท่องเที่ยวทรุด-ซัพพลายจ่อเพิ่ม 1.6 หมื่นห้อง

ฝันร้ายโรงแรมในภูเก็ต จำนวนนักท่องเที่ยวทรุด ขณะที่ซัพพลายห้องพักยังอยู่ระหว่างสร้างเพิ่มเติมอีกกว่า 1.6 หมื่นห้อง

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นนแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดโรงแรมระดับลักชัวรี่และอัพสเกลในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2563ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงปัจจัยลบจากภาพรวมของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน

ผลการสำรวจพบว่าอุปทานเปิดตัวใหม่มีเพียงแค่โครงการเดียวเท่านั้น ซึ่งผู้ประกอบหลายรายเลือกที่เลื่อนการเปิดตัวโรงแรมใหม่ในช่วงนี้ออกไป และพิจารณาการเปิดตัวปีกครั้งเมื่อสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยรวมถึงค่าห้องพักเฉลี่ยปรับตัวลดลงไปอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นภาวะที่ยากลำบากที่สุดของภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตสำหรับในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยมองว่า  สถานการณ์การท่องเที่ยวในภูเก็ตอาจปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ผ่านแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวด้วยการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในพื้นที่รวมถึงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศของรัฐบาล และปัจจัยบวกที่สำคัญที่สุดจากการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศทั่วโลกจะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เพราะมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ปลอดภัยสำหรับการพักผ่อนและอยู่อาศัย

“อุปทานใหม่เลื่อนการเปิดตัวออกไปเนื่องจากมองว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะกับการเปิดตัวโรงแรมใหม่และพิจารณาการเปิดตัวใหม่อีกครั้งหลังจากสถานการณ์การท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น”

นายภัทรชัย ทวีวงศ์
นายภัทรชัย ทวีวงศ์

ภาพรวมอุปทานโรงแรมทุกระดับในจังหวัดภูเก็ต  ณ สิ้นครึ่งแรกปี พ.ศ.2563 อยู่ที่ประมาณ 86,000 ห้อง แต่สำหรับภาพรวมอุปทานสะสมโรงแรมระดับลักชัวรี่และอัพสเกลทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 22,420 ห้อง

สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา มีโรงแรมระดับอัพสเกลเปิดบริการใหม่เพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้น คือ โฟร์พอยท์ส บาย เชอราตัน ภูเก็ต ป่าตอง บีช รีสอร์ท  600 ห้อง ตั้งอยู่บริเวณหาดป่าตอง อำเภอกะทู้  ซึ่งคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พบว่าการเปิดตัวของโรงแรมระดับลักชัวรี่และอัพสเกลส่วนใหญ่ยังคงมีการกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่รอบๆชายหาดที่สำคัญเช่น ป่าตอง บางเทา ราไวย์  กมลา เป็นต้น

อัตราการเข้าพัก ค่าห้องพักรายวันเฉลี่ย และรายได้ต่อห้องของโรงแรมระดับหรูหราใน จ.ภูเก็ต ครึ่งปีแรก 2563

ซัพพลายจ่อเพิ่ม 1.6 หมื่นห้อง

จากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในภูเก็ตเป็นอย่างมาก นักพัฒนาหลายรายเลือกที่จะเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกออกไป และรอดูสถานการณ์อีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีว่าจะสามารถเปิดตัวได้หรือไหม นอกจากนี่ยังพบว่ามีโรงแรมอีกมากกว่า 16,400 ห้องพักที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในช่วงครึ่งหลังปี พ.ศ. 2563 -2566

ประมาณ 67.1% ของจำนวนดังกล่าว หรือมากกว่า 11,000 ห้องพัก เป็นโครงการวิลล่าตากอากาศและคอนโดมิเนียมที่มีการขายแบบการันตีผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีแบรนด์โรงแรมเข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการในลักษณะโฮเต็ลเรสิเดนซ์ ในรูปแบบโปรแกรมบังคับเช่า หรือแบบเลือกการปล่อยเช่าเป็นโรงแรม ซึ่งถือว่าจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญของธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตเป็นอย่างมาก  โดยพบว่าส่วนใหญ่มีการกระจายตัวแทบทุกพื้นที่ในจังหวัด โดยเฉพาะ ย่านกมลา ป่าตอง สุรินทร์ บางเทา ราไวย์ เป็นต้น

คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยคาดการณ์ว่า ทำเล ป่าตอง กมลา บางเทา ราไวย์ ในหาญ และสุรินทร์  จะยังคงเป็นทำเลนี้จะยังคงขยายตัวต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะพื้นที่โดยรอบทำเลย่านป่าตอง และ บางเทา เนื่องจากเป็นทำเลที่ภาคเอกชนขนาดใหญ่ รวมถึงเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่จากภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งในส่วนของโครงการรถไฟฟ้ารางเบา (แทรม) จ.ภูเก็ต รวมถึงโครงการก่อสร้างทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กม. ล้วนจะส่งผลให้ทำเลย่านดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในภูเก็ตมากขึ้นในอนาคต

จากอุปทานโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกมากกว่า 16,400 ห้องพักที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะเปิดให้บริการในอนาคต เป็นสิ่งที่น่ากังวลใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากพบว่าอุปทานโรงแรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวและความต้องการห้องพักไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้มากนัก ส่งผลให้เกิดภาวะที่อุปทานเกินความต้องการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของผู้ประกอบการโรงแรมในพื้นที่เป็นอย่างมาก

ดังนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมีความจำเป็นต้องปรับตัว โดยกลยุทธ์การกำหนดราคาสินค้าและบริการ ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาว่าอำนาจการซื้อของลูกค้าหลักเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด  ด้วยทิศทางของค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นผู้ประกอบการไม่ควรขึ้นราคาสินค้าหรือบริการ เพราะจะไปซ้ำเติมอำนาจการซื้อของนักท่องเที่ยว เพื่อให้สอดคล้องต่อภาวะเศรษฐกิจและทิศทางค่าเงินบาทการปรับราคาสินค้าและบริการ ในช่วง2-3 ปีข้างหน้าอาจเป็นไปได้ยาก ผู้ประกอบควรเน้นการปรับลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจยังมีความสามารถในการแข่งขันในภาวะที่ตลาดชะลอตัว

สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตในช่วงครึ่งแรก ปี 2563 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างมาก จากการปิดพื้นที่ซึ่งส่งผลให้ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ได้  ซึ่งหลังจากมีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือ พรก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 26 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป

ส่งผลให้ในช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม จำนวนนักท่องเที่ยวไทยในพื้นที่ภูเก็ตกลายเป็น 0 ในช่วง 2 เดือนดังกล่าว และนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปมากกว่า 99% ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตในช่วงครึ่งปีแรกเหลือเพียงแค่  2.84 ล้านคนเท่านั้น ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 62.56%

อุปทานเปิดขายใหม่ในแต่ละปี และอุปทานสะสมรายปี ณ ครึ่งปีแรก 2563

ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมาปรับตัวลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน เหลือเพียงแค่ประมาณ 1.85 ล้านคนเท่านั้น ปรับตัวลดลงมากถึง 68.94% และในส่วนของนักท่องเที่ยวไทยก็ปรับตัวลดลงมากถึง 52.75 % มาอยู่ที่ประมาณ 0.98 ล้านคน ส่งผลให้มูลค่าจากการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 เหลือเพียงแค่ 101,242.39 ล้านบาทเท่านั้น ปรับตัวลดลงมากถึง 62.85% สร้างความเสียหายต่อภาคการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตเป็นอย่างมาก

สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีพ.ศ. 2563 คาดว่ายังคงเป็นปีที่ค่อนข้างท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยและการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต  ซึ่งจากปัจจัยลบต่างๆ ที่เข้ามากระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในปีพ.ศ. 2563 โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดอย่างหลักในหลายประเทศทั่วโลกที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้

นอกจากนี้ปัจจัยลบในเรื่องของการแข็งค่าของเงินบาท ข้อจำกัดเรื่องการรองรับของสนามบินหลักของไทย และเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ถือว่ายังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่าย ประกอบกับค่าเงินบาทที่ค่อนข้างแข็งค่าที่สุดในภูมิภาคนี้ ส่งล้วนแต่ถือว่าเป็นปัจจัยลบที่สำคัญที่เข้ามากระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในภูเก็ตแทบทั้งสิ้น

แต่อย่างไรก็ตามคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยมองว่า  สถานการณ์การท่องเที่ยวในภูเก็ตอาจปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ผ่านแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวด้วยการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในพื้นที่ภูเก็ตในจำนวนจำกัด และต้องผ่านการคัดกรองตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง และให้อยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวเท่านั้น

เบื้องต้นจะนำร่อง จ.ภูเก็ต เป็น “โมเดล” สำหรับภูเก็ตโมเดลจะเริ่มบางพื้นที่ในจังหวัดภูเก็ต ตัวอย่างเช่น หาดป่าตอง จะปิดพื้นที่ในรัศมี 1 กิโลเมตร ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปอยู่เป็นเวลา 14 วัน เมื่ออยู่ครบ จะมีการตรวจเชื้อโควิด หากผลตรวจไม่พบเชื้อ นักท่องเที่ยวคนนั้นๆ จะสามารถออกจากพื้นที่จำกัด ไปท่องเที่ยวในพื้นที่อื่นภายในจังหวัดภูเก็ตได้อีก ซึ่งจากแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวดังกล่าว คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย คาดการณ์ว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่จะส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวในภูเก็ตกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมโดยภาพรวมในทุกระดับในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ณ สิ้นครึ่งแรกปี 2563 อยู่ที่ 26.33% ปรับตัวลดอย่างมากจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 80.35% มากถึง 54.02% จากจำนวนนักเที่ยวเที่ยวทั้งหมดที่ประมาณ  2.84 ล้านคนเท่านั้น  ซึ่งธุรกิจโรงแรมเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา หลายโรงแรมประกาศปิดกิจการถาวรและพบว่ามีโรงแรมอีกเป็นจำนวนมากประกาศปิดการดำเนินการชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้น

สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมระดับลักชัวรี่และอัพสเกลในจังหวัดภูเก็ต ณ ครึ่งแรกปีพ.ศ.2563 อยู่ที่ประมาณ 38.0% ปรับตัวลดลงจากในช่วงก่อนหน้าถึง 22% เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมากว่า 69% และจากการปิดสนามบินนานาชาติภูเก็ตชั่วคราวในเดือนเมษายนปี 2563 ส่งผลให้อัตราการเข้าพักของโรงแรมลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมระดับลักชัวรี่และอัพสเกลในจังหวัดภูเก็ตในช่วงครึ่งหลังของปีพ.ศ. 2563 คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย คาดการณ์ว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการกระตุ้นการท่องท่องของภาครัฐผ่านกระตุ้นต่างๆ ทั้งจากนักท่องเที่ยวในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยสังเกตได้ว่าในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ภาพรวมการท่องเที่ยวในภูเก็ตเริ่มมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากแผนการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งพบว่า มีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในภูเก็ตมากกว่า 115,000 คน และคาดการณ์ว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ค่าห้องพักเฉลี่ยของโรงแรมระดับระดับลักชัวรี่และอัพสเกล ในจังหวัดภูเก็ต  ณ ครึ่งแรกปีพ.ศ.2563 ปรับตัวลดลงจากในปีก่อนหน้าประมาณ 6.0% มาอยู่ที่ประมาณ 5,250 บาท สำหรับรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก มีการปรับลดลงประมาณ 8.1% จากในช่วงปีก่อนหน้าเช่นเดียวกัน มาอยู่ที่ประมาณ 3, 840 บาท   ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายเลือกที่เลือกที่ปรับลดราคาห้องพักลงเพื่อธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในภาวะที่ตลาดนักท่องเที่ยวไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ บวกกับอุปทานห้องพักที่เปิดใหม่ที่เข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก จากโครงการคอนโดมิเนียมและวิลล่าตากอากาศที่มีการขายแบบการันตีผลตอบแทนจากการลงทุนโดยมีแบรนด์โรงแรมเข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการในลักษณะโฮเต็ลเรสิเดนซ์ ส่งผลให้อุปทานห้องพักเติบโตสวนทางกับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากในปัจจุบัน

สำหรับค่าห้องพักเฉลี่ยและรายได้เฉลี่ยต่อห้องของตลาดโรงแรมระดับลักชัวรี่และอัพสเกลจังหวัดภูเก็ตในช่วงครึ่งหลังของปีพ.ศ. 2563 คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยคาดการณ์ว่าอาจจะยังคงมีการปรับลดลงอีกประมาณ 5% ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตลาดการท่องเที่ยว อัตราแลกเปลี่ยนและภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศและเศรษฐกิจโลก เนื่องจากผู้ประกอบการต้องการรักษาฐานลูกค้าไว้ในภาวะที่ตลาดยังคงมีการแข็งขันที่ค่อนข้างสูงและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ในต่างประเทศยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจชะลอตัวถึงปี พ.ศ.2564