ตระกูลดังบุกลงทุน Branded Residence ตลาดแสนล้านกระเพื่อม

ตระกูลดังบุกลงทุน BrandedResidence ตลาดแสนล้านกระเพื่อม ดึงเศรษฐีโลกพักเมืองไทย

เปิดโลกอสังหาฯ branded residence ที่อยู่อาศัยระดับหรูขายพ่วงบริการโรงแรมชั้นเริด ตระกูลดังเมืองไทยส่งซิกเคลื่อนทัพลงทุนฝ่าสถานการณ์โควิด เจาะลูกค้าไฮโซไทย-เทศ เคาะราคาขาย 3-7.5 แสน/ตร.ม. “คอลลิเออร์สฯ” เผยตลาดบูมเงียบตลอด 30 ปีที่ผ่านมา สถิติล่าสุดอยู่ระหว่างขาย 35 โครงการทั่วประเทศ มูลค่าทะลุ 1.14 แสนล้าน กว่า 8,200 ยูนิต อัตราดูดซับ 71% จ่อเปิดตัวถึงปี 2568 อีก 4,000 ยูนิต จับตาเทรนด์ 3 ปีย้อนหลังเชนโรงแรมเมืองนอกแห่เข้าไทย ลดเพดานเจาะกำลังซื้อ reachable price 1.3 แสน/ตร.ม.

เดือนกันยายน 2563 บนความยากลำบากในการทำธุรกิจภายใต้สถานการณ์โควิด แต่ทว่า ยังมีอสังหาริมทรัพย์บางประเภทที่ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเข็มทิศการลงทุนมุ่งเป้าเจาะตลาดลูกค้าระดับลักเซอรี่-อัลตราลักเซอรี่ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อเหนือกาลเวลาและไร้ข้อจำกัด

เรากำลังพูดถึงตลาดที่บูมเงียบในรูปแบบ branded residence ที่พบว่าปัจจุบันมีโครงการอยู่ระหว่างขายรวมกันถึง 35 โครงการทั่วประเทศ มูลค่าตลาดทะลุ 1.14 แสนล้านบาท

ทะลัก 35 โครงการ 1.1 แสนล้าน

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เทรนด์การลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบ branded residence นอกจากเป็นการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ยังส่งเสริมภาพลักษณ์ของผู้ซื้อให้โดดเด่นและแตกต่าง

สถิติ ณ ครึ่งปีแรก 2563 มีโครงการอยู่ระหว่างการขาย 35 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 114,120 ล้านบาท โดยมี 5 ทำเลหลักที่มีการลงทุนมากที่สุดประกอบด้วย 1.ภูเก็ต จำนวน 15 โครงการ คิดเป็นสัดส่วน 44% เนื่องจากสถานะภูเก็ตที่เป็นไข่มุกอันดามันและเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของโลก ทำให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ แม้ว่าปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบรุนแรงจากสถานการณ์โควิด แต่คาดว่าหลังยุคโควิดจบลงเกาะภูเก็ตยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการเดินทางเข้ามาพักผ่อนระยะสั้น และซื้อบ้านพักตากอากาศพักผ่อนระยะยาว

2.ทำเลกรุงเทพฯมี 10 โครงการ สัดส่วน 29% ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมระดับลักเซอรี่ ครอบคลุมทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยา ลุมพินี เพลินจิต ชิดลม และสุขุมวิท เป็นต้น 3.พัทยา 8 โครงการ สัดส่วน 24% 4.หัวหิน 1 โครงการ และ 5.กระบี่ 1 โครงการ สัดส่วนรวมกัน 3%

“branded residence เติบโตเป็นอย่างมากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ภายในปี 2568 คาดว่าประเทศไทยจะมีการลงทุนใหม่ไม่น้อยกว่า 30 โครงการ เกิน 4,000 ยูนิต ซึ่งเป็นโครงการระดับอัพสเกลไปจนถึงลักเซอรี่”

เปิดชื่อตระกูลดังหัวหอกลงทุน

นายภัทรชัยกล่าวว่า โครงการที่อยู่ระหว่างการขายทั่วประเทศ อาทิ The Residences at Mandarin Oriental Bangkok ในโครงการไอคอนสยามของ นางทิพพาภรณ์ อริยวนารมย์ กลุ่ม MQDC, The Ritz-Carlton Resi-dences Bangkok ในโครงการมหานคร ปัจจุบันเป็นของกลุ่มคิง เพาเวอร์

โครงการ Four Seasons Private Residence Bangkok, Banyan Tree Residences Riverside Bangkok ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยกลุ่มคันทรี่ กรุ๊ป, โครงการ Intercontinental Residences Hua Hin ในหัวหิน ของตระกูลลิปตพัลลภ, The Residences at Sheraton Phuket Grand Bay ในภูเก็ต ฯลฯ

ทิพพาภรณ์ อริยวนารมย์
ทิพพาภรณ์ อริยวนารมย์

ในด้านซัพพลายพบว่า ครึ่งปีแรก 2563 จำนวน 35 โครงการอยู่ระหว่างเปิดขายมียูนิตรวมกัน 8,246 ยูนิต ขายไปแล้ว 5,876 ยูนิต คิดเป็น 71% มูลค่าขายแล้ว 81,320 ล้านบาท เหลือขาย 2,370 ยูนิต สัดส่วน 29% เหลือขาย 32,800 ล้านบาท

แนวโน้มครึ่งปีหลัง 2563 พบว่ามีผู้ประกอบการอีกหลายรายวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด กลุ่มอมัน (Aman) แบรนด์โรงแรมและรีสอร์ตที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในระยะยาวกับบริษัท นายเลิศ ปาร์ค ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในเครือปาร์คนายเลิศ พัฒนาโครงการอมัน นายเลิศ เออร์เบิน เรสซิเดนเซส กรุงเทพฯ (Aman Nai Lert Urban Residences Bangkok) มูลค่าการลงทุน 6,000 ล้านบาท วางราคาขายเริ่มต้นที่ 450,000 บาท/ตารางเมตร ถือว่าแพงสุดในย่านเพลินจิตสำหรับโครงการที่ขายในรูปแบบสิทธิการเช่าหรือลีสโฮลด์

นอกจากนี้ ยังมีบริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลก กลุ่ม “Six Senses” พัฒนาโครงการ The Forestias บนถนนบางนา-ตราด กม.7 บนพื้นที่ 398 ไร่ มีมูลค่าโครงการถึง 125,000 ล้านบาท

รร.นอกเจาะ Reachable Price

ในด้านราคาพบว่าโครงการอยู่ระหว่างขาย 8,246 ยูนิต กลุ่มราคาหลักอยู่ในช่วงราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปมีมากที่สุด 2,283 ยูนิต คิดเป็น 27.7% รองลงมา 5-7.5 ล้านบาท จำนวน 2,021 ยูนิต สัดส่วน 24.5% และราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 2,016 ยูนิต คิดเป็น 24.4%

ในจำนวนนี้กลุ่มราคา 7.5-10 ล้านบาท มีอัตราขายดีที่สุด 78.0% ตามมาด้วยราคา 5-7.5 ล้านบาท ที่สามารถขายได้แล้ว 77.6% และราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปมีอัตราขายแล้ว 72.1%

“ในอดีตโครงการ branded residence ในไทยมีราคาค่อนข้างสูง 3 แสน/ตารางเมตรขึ้นไป บางโครงการขายแบบ leasehold หรือสัญญาเช่าระยะยาวเท่านั้น โดยเฉพาะโครงการในกรุงเทพฯ อัพเดตช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการมีการปรับตัวจับกลุ่มระดับกลางมากขึ้น เน้นกลยุทธ์นำเสนอ reachable price ราคาไม่สูงมากนัก แต่ได้บริการที่มีมาตรฐานเทียบเท่ากัน เน้นเจาะขายลูกค้าซื้อลงทุนปล่อยเช่า”

ยกตัวอย่าง บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับ hotel brand จากสหรัฐอเมริกากลุ่ม Wyndham ลงทุน branded residence แห่งแรกของ Wyndham ในกรุงเทพฯ 4 โครงการ ได้แก่ Wyndham Resi-dence (Sukhumvit 16), Wyndham Garden Residence (Sukhumvit 42), Ramada Plaza Residence (Sukhumvit 48), Ramada Residence (Sukhumvit 87) ราคาเริ่มต้น 1.3 แสนบาท/ตารางเมตร

นำร่อง “อมัน เออร์เบิน เรสซิเดนเซส”

นางณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นายเลิศ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา บริษัทลอนช์โครงการ “อมัน นายเลิศ เออร์เบิน เรสซิเดนเซส กรุงเทพฯ” โดยร่วมกับกลุ่มอมันซึ่งเป็นเชนโรงแรมและรีสอร์ตส่วนตัวระดับโลก มูลค่าลงทุน 6,000 บาท แบ่งเป็นโรงแรมขนาดห้องพัก 100-500 ตารางเมตร จำนวน 52 ห้องพัก และเรซิเดนซ์ขายแบบสิทธิการเช่า 60 ปี (30+30 ปี) จำนวน 42 ยูนิต ไซซ์ห้อง 107-2,200 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.5 แสนบาท/ตารางเมตร

“กลุ่มอมันเป็นท็อปคลาสของโลก อายุก่อตั้ง 38 ปี นโยบายการลงทุนเพิ่งหันมาทำเรซิเดนซ์โดยมีอมัน เรสซิเดนซ์ 14 แห่งทั่วโลก แต่เซ็กเมนต์นิชที่เป็น urban residence เพิ่งมี 3 แห่ง โครงการอมัน นายเลิศฯ เป็นเออร์เบิน เรสซิเดนซ์แห่งที่ 4 จากทั่วโลก และเป็นอมัน เรสซิเดนซ์แห่งแรกในเมืองไทย”

ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูร
ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูร

ซีอีโอนายเลิศปาร์ค ดีเวลลอปเม้นท์กล่าวด้วยว่า เหตุผลที่ขายแบบสิทธิการเช่าเนื่องจากทีมงานอมันดีไซน์โครงการเป็นอาคารไฮไรส์สูง 36 ชั้น 1 อาคาร บนที่ดิน 3 ไร่เศษ มีทั้งโรงแรมและเรซิเดนซ์อยู่ในตึกเดียวกัน ซึ่งตามกฎหมายไทยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้เพราะมีโครงการโรงแรมอยู่ในอาคารเดียวกัน

โดยบริษัทตั้งเป้าเจาะลูกค้าต่างชาติกับลูกค้าคนไทยสัดส่วนครึ่ง/ครึ่ง และเนื่องจากมีจำนวนเรซิเดนซ์ไม่มาก 42 ยูนิต จึงตั้งเป้าปิดยอดขาย 50% ภายในสิ้นปี 2563 เพราะมั่นใจที่ตั้งโครงการมีศักยภาพสูงอยู่บนทำเลเพลินจิต-วิทยุ สามารถเข้า-ออกโครงการได้ 2 ถนน ฝั่งถนนวิทยุกับซอยสมคิด โดยฐานลูกค้าจะต่อยอดมาจากเมมเบอร์ของกลุ่มอมันกับกลุ่มปาร์คนายเลิศ

คันทรี่ กรุ๊ปลุ้นโอน 12,000 ล้าน

นายเบน เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) อัพเดตการลงทุนโครงการโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ กรุงเทพฯ แอท เจ้าพระยาริเวอร์ ว่า การลงทุนพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูสบนที่ดินเช่า 35 ไร่ มูลค่าโครงการ 32,000 ล้านบาท โดยเป็นเฟสของโครงการโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ กรุงเทพฯ มูลค่า 21,000 ล้านบาท

รายละเอียดออกแบบเป็นอาคารไฮไรส์ 73 ชั้น จำนวน 366 ยูนิต รูปแบบ 2-5 ห้องนอน และเพนต์เฮาส์ พื้นที่ใช้สอย 115-1,050 ตารางเมตร ขายแบบสิทธิการเช่า 75 ปี (25+25+25 ปี) ราคา 45-400 ล้านบาท/ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.5-5.7 แสนบาท หรือเฉลี่ย 3 แสนบาท/ตารางเมตร และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ราคาเฉลี่ยขยับเป็น 3.2 แสนบาท/ตารางเมตร

เบน เตชะอุบล
เบน เตชะอุบล

ปัจจุบันคอนโดฯมียอดขาย 13,500 ล้านบาท เป็นยอดขายลูกค้าคนต่างชาติ 64% โดยเฉพาะคนฮ่องกงที่ซื้อห้องใหญ่กับลูกค้าคนไทย 36% วางแผนทยอยโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งปีหลัง 2563 เป็นต้นไปจำนวน 12,000 ล้านบาท

“เราไม่กังวลเรื่องการโอนของลูกค้าต่างชาติเพราะมีการเรียกเก็บเงินมัดจำสูงและเป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง บริษัทมีระบบ CRM คอยดูแลลูกค้าอย่างดี โครงการนี้มีลูกค้าซื้อลงทุนน้อยมากไม่ถึง 10% เพราะเราขายไลฟ์สไตล์และเน้นคนซื้ออยู่อาศัยเองมากกว่า” นายเบนกล่าว

“ลิปตพัลลภ” ปักหมุดหัวหิน

ก่อนหน้านี้ นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทร่วมกับ IHG-Intercontinental Hotel Group พัฒนาโครงการ “อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน” จุดขายเป็นแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟที่มีเพียงไม่กี่แห่งในมหานครชั้นนำของโลก เช่น บอสตัน ดูไบ โครงการนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ IHG มีต่อพราว เรียล เอสเตท และสถานะของหัวหินในการเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ

พราวพุธ ลิปตพัลลภ
พราวพุธ ลิปตพัลลภ

รายละเอียดโครงการ คือ พัฒนาบนพื้นที่ 7 ไร่ ทำเลติดชายหาดผืนสุดท้ายใจกลางเมืองหัวหิน บนถนนเพชรเกษม ช่วงซอยหัวหิน 71 (ตรงข้ามศูนย์การค้า Market Village) ซึ่งมีราคาที่ดินสูงที่สุดในหัวหิน (ณ ปลายปี 2562) มากกว่าไร่ละ 150 ล้านบาท การออกแบบโครงการให้มีพื้นที่เปิด 70% หรือมากกว่า 7,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยพื้นที่สวน ชายหาดส่วนตัว และ 7 สระว่ายน้ำพร้อมสระจากุซซี่ขอบใสริมหาด ห้องออกกำลังกายที่ซ่อนอยู่ใต้สระว่ายน้ำ (hidden gym) ห้องสปา พื้นที่จัดเลี้ยงริมหาด (beach pavilion)

โครงการมีห้องชุด 238 ยูนิต แต่ละชั้นมี 3-13 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 45 ตารางเมตร มียูนิต pool access สามารถเดินลงสระว่ายน้ำได้, ห้องดูเพล็กซ์ 3 ห้องนอน พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว และเพนต์เฮาส์วิวทะเล 270 องศา 300 ตารางเมตร ในรูปแบบฟูลลี่เฟอร์นิช มีบริการบัตเลอร์และคอนเซียร์จ, บริการดูแลทำความสะอาด, บริการซักรีด, บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษา เป็นต้น

 

30 ปีแห่งการลงทุนอสังหาฯเชิงไลฟ์สไตล์

มาทำความรู้จักอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบ branded residence ให้มากขึ้นผ่านบทสัมภาษณ์ “ไผ่-ภัทรชัย ทวีวงศ์” ผู้บริหารฝ่ายวิจัยของคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ซึ่งมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก และเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าหลังสถานการณ์โควิดผ่านพ้นจะเป็นเซ็กเมนต์ที่กลับมาบูมอย่างมากมายในประเทศไทยbranded residence เริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 30 ปีที่แล้วในรูปแบบของโครงการอสังหาริมทรัพย์หรูหรา กลุ่มลูกค้าที่สนใจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก 1.กลุ่มซื้ออยู่เอง ต้องการ service มาตรฐานโรงแรมจากโครงการ 2.กลุ่มซื้อลงทุนโดยคาดหวังในเรื่องของ yield และ profit sharing จากการบริหารงานและการเช่าของโรงแรม

ภัทรชัย ทวีวงศ์
ภัทรชัย ทวีวงศ์

เทรนด์ของ branded residence ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศไทย เนื่องจากพฤติกรรมของคนเปลี่ยนจากการอยู่อาศัยกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงไปสู่การกระจายตัวออกไปยังที่พักตากอากาศมากขึ้น โดยเฉพาะในหัวเมืองตากอากาศอย่าง “ภูเก็ต พัทยา หัวหิน กระบี่”

ล่าสุดรูปแบบการลงทุนที่พักอาศัยหรูหราขายพ่วงบริการชั้นเลิศ เทรนด์ย้อนศรกลับเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง โดยเริ่มเป็นที่นิยมการลงทุนมากขึ้นในพื้นที่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร

โดย branded residence เป็นโครงการที่อยู่อาศัยที่มีการ collaborate กับแบรนด์โรงแรมชั้นนำต่าง ๆ เพื่อยกระดับโครงการให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น เช่น ร่วมมือดีไซเนอร์ระดับโลก หรือตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์ชั้นนำ เป็นต้น

การพัฒนาโครงการ branded residence จึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้พักอาศัยที่มีแบรนด์โรงแรมชั้นนำมาบริหารอาคารและดูแลพื้นที่ส่วนกลางตามมาตรฐานของแบรนด์ ซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากที่พักอาศัยทั่วไป บริการดังกล่าว เช่น room service, concierge service, doorman, valet parking รวมถึงการดูแลซ่อมแซมบำรุงรักษา ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่าการอยู่อาศัยในโครงการทั่วไป และเป็นการเพิ่มมูลค่า (value added) ให้กับโครงการ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตตามความต้องการของลูกค้ากลุ่มกำลังซื้อสูงถึงสูงมากในยุคปัจจุบัน

ทั้งนี้ สถานการณ์โควิดมีปัจจัยบวกสำหรับประเทศไทยในเรื่องของการป้องกันและควบคุมโรคระบาดได้อย่างดีเยี่ยมจนได้รับคำชมจากนานาประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติจำนวนมากมองว่าไทยเป็นประเทศที่ปลอดภัยสำหรับการพักอาศัย และเหมาะสำหรับการซื้ออสังหาฯเป็นบ้านหลังที่ 2

ซึ่งโครงการ branded residence สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าคนไทยและต่างชาติได้เป็นอย่างดี