แสนสิริล่าลูกค้าต่างชาติ 1.2 หมื่นล้าน 4 ปีสำเร็จ-ปักสาขาลงทุนเจาะตลาดจีน 4 ประเทศ

เดินมาถูกทาง “แสนสิริ” ใช้เวลา 4 ปี ดึงลูกค้าต่างชาติช็อปคอนโดฯถล่มทลาย ปี”61 ตั้งเป้ารายได้ 1.2 หมื่นล้าน เทน้ำหนักลูกค้าจีน 4 ประเทศ “จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน” ควบคู่เกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป เติมงบฯอีก 100 ล้าน พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยแห่งอนาคต ดีเดย์ 8 พ.ย.ประกาศแผนรุก-รบขับเคลื่อนธุรกิจแสนสิริเติบโตยั่งยืน

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริประสบความสำเร็จในการทำตลาดลูกค้าต่างชาติในช่วง 4 ปี (2557-2560) โดยตลาดที่โดดเด่นคือลูกค้าชาวจีน 4 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ และไต้หวัน

ขายต่างชาติ 1.2 หมื่นล้าน

ทั้งนี้ รายได้ตลาดต่างชาติของแสนสิริ 4 ปี เริ่มจากปี 2557 อยู่ที่ 43 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 1,419 ล้านบาท (คำนวณอัตราแลกเปลี่ยน 33 บาท) ปี 2558 อยู่ที่ 3,300 ล้านบาท ปี 2559 อยู่ที่ 5,115 ล้านบาท และเป้ารายได้ลูกค้าต่างชาติปีนี้ตั้งไว้ที่ 9,075 ล้านบาทในแง่อัตราเติบโตพบว่ารายได้ตลาดนี้สามารถสร้างสถิติเติบโตตั้งแต่ 50%-เกิน 100% ได้แก่ ปี 2558 เติบโต 135% ปี 2559 เติบโต 55% ปี 2560 คาดว่าเติบโต 56%

“ภายใน 5 ปีหน้า คาดว่าแสนสิริมีรายได้ 5 หมื่นล้าน สัดส่วนลูกค้าต่างชาติมีความสำคัญ ปรับจาก 20% ของรายได้รวม เพิ่มเป็น 25% ในปีนี้ และขยับสัดส่วนเป็น 30% โดยรายได้หลักของตลาดต่างชาติยังเน้นจีนเพราะมีดีมานด์มหาศาล”

โดยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2560 (มกราคม-มิถุนายน 2560) 115 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3,800 ล้านบาท สถิติท็อป 5 เป็นของลูกค้าฮ่องกง 39% จีนแผ่นดินใหญ่ 32% สิงคโปร์ 18% ไต้หวัน 5% และอันดับ 5 คือญี่ปุ่น 3%เป้ารายได้คาดว่าถึงสิ้นปีทำได้ 9,000 ล้านบาท สเต็ปต่อไปแผนธุรกิจปี 2561 ต้องการรายได้ลูกค้าตลาดต่างชาติ 12,000 ล้านบาท

 

ผุดเอเย่นต์จีน 4 สาขา

ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา แสนสิริเปิดตัวสำนักงานขายในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เป็นสาขาแห่งที่ 4 โดยได้เปิดสำนักงานขายในเมืองปักกิ่ง กว่างโจว เสิ่นเจิ้นเพื่อรองรับการโปรโมตอสังหาริมทรัพย์ไทยให้กับผู้ซื้อชาวจีนโดยตรงก่อนหน้านี้

สาเหตุที่ให้ความสำคัญกับตลาดจีนเป็นเพราะบริษัททำยอดขายในปี 2559 จำนวน 1,700 ล้านบาท ล่าสุด ยอดขาย 9 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 2,300 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีทำได้ถึง 3,500 ล้านบาท จึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมาก โดยการลงทุนเปิดสำนักงานขายเพิ่มในเมืองจีนเพื่อรองรับเป้ารายได้ตลาดจีนอย่างเดียว 4,500 ล้านบาทในปีหน้า รองลงมาเป็นรายได้ลูกค้าฮ่องกง 4,000 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มตลาดจีนสามารถโตได้อีกกี่เท่านั้น นายเศรษฐากล่าวว่า ขนาดของเมืองใหญ่ในประเทศไทยเปรียบเทียบกับขนาดตลาดในจีนจะเห็นว่าเมืองใหญ่ระดับกรุงเทพมหานครที่มีประชากร 18-19 ล้านคน นับเฉพาะในมณฑลเดียวของจีนมีขนาดตลาดเท่ากันเป็น 10 เมือง ยกตัวอย่างเมืองเสิ่นเจิ้นแห่งเดียวมีขนาดเทียบกับกรุงเทพฯแล้ว ตลาดจีนจึงมีศักยภาพสูงมาก

“คิดแบบเข้าข้างตัวเองนะ ถ้าผมทำอสังหาฯ ที่เมืองไทยมียอดขาย 3 หมื่นล้าน ตลาดกระจุกในกรุงเทพฯและปริมณฑลมี 75% หรือ 2 หมื่นล้าน ผมมาเปิดตลาดในประเทศจีนขอแค่ 0.1% ผมก็ได้กี่หมื่นล้านแล้วล่ะ”

ผนึก Luen Thai Group

“จุดแข็งที่ทำให้แสนสิริขยายตลาดต่างชาติได้มากขึ้นเนื่องจากมีการสร้างสำนักงานขายอยู่ในประเทศนั้น ๆ สามารถที่จะแนะนำหรือร้องเรียนได้ มีบุคลากรในบริษัทที่สามารถสื่อสารกับลูกค้าต่างชาติได้ และการบริการหลังการขายที่ดี” นายเศรษฐากล่าวและว่า

สำหรับการเปิดสาขาในจีน แสนสิริลงทุนเองในสาขาปักกิ่ง อีก 3 แห่งร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ Luen Thai Group Limited องค์กรธุรกิจที่มีฐานธุรกิจอยู่ในฮ่องกง มีการลงทุนครอบคลุมค้าปลีก อสังหาฯ ประมง การท่องเที่ยว-โรงแรม โลจิสติกส์และซัพพลายเชน ความร่วมมือครั้งนี้ต่อยอดแผนธุรกิจให้วิน-วินด้วยกันทั้งคู่

“เรารู้จัก Leun Thai ที่ฮ่องกง ซึ่งเราวางรากฐานสำนักงานมานาน 4 ปีแล้ว ได้รู้จักพันธมิตรรายนี้มากกว่า 1 ปี ส่วนออฟฟิศนอกเมืองจีนก็มีหลายแห่ง ตอนนี้มีอยู่แล้วในสิงคโปร์ ฮ่องกงกำลังจะเปิดสำนักงานเดือนพฤศจิกายนนี้ ในอนาคตอาจมีในไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป กลยุทธ์คือไปพร้อมกับพาร์ตเนอร์ต่างชาติ รูปแบบ B to B”

นายเศรษฐากล่าวถึงสำนักงาน 4 สาขาในจีนด้วยว่า สำนักงานจะเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับตัวแทนอสังหาฯ แต่ละเมือง รวมถึงรองรับกิจกรรมโรดโชว์ที่มีโปรแกรมจัดขึ้นทุกเดือน สำหรับนำเสนอโครงการที่พัฒนาในกรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

อสังหาฯไทยศักยภาพสูง

นายเศรษฐากล่าวต่อว่า ตลาดอสังหาฯเมืองไทยมีความน่าสนใจในสายตาลูกค้าชาวต่างชาติ ด้วยเหตุผลอย่างน้อย 5-6 ข้อ อาทิ ในด้านกฎหมายเปิดให้ชาวต่างชาติถือกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมได้ 49%, ราคาต่อห้องเริ่มต้น 1 ล้านกว่าบาท ถือว่าไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับคอนโดฯ ประเทศเพื่อนบ้านและในย่านเอเชียด้วยกัน

นอกจากนี้มีผลตอบแทนการซื้อลงทุนปล่อยเช่าในระดับน่าพอใจ 5-7%, ภาวะการซื้อขายเปลี่ยนมือในทำเลที่มีศักยภาพปรับตัวขึ้นไม่ต่ำกว่า 10%, ในภาพใหญ่รัฐบาลไทยมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และอยู่ระหว่างเปิดไซต์ก่อสร้างจำนวนมาก ในอนาคตเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นปัจจัยบวกให้กับโครงการอสังหาฯโดยตรง รวมทั้งไทยเป็นศูนย์กลางของตลาดเอเชียที่มีประชากรรวมกัน 600 ล้านคน

“กลยุทธ์การตลาดยืดหยุ่นไปตามลูกค้า เช่น ลูกค้าปักกิ่งมีกำลังซื้อระดับกลาง-ไฮเอนด์ มองหาบ้านตากอากาศราคาแพง ลูกค้ากว่างโจวและเสิ่นเจิ้นมีพฤติกรรมใกล้เคียงกับฮ่องกงเราก็ทำกิจกรรมการตลาดในรูปแบบเดียวกันได้ ในภาพรวมลูกค้าจีนมีดีมานด์สูงขึ้นในการซื้อคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ เพราะราคาต่ำกว่าบ้านเขา 2-3 เท่า โดยเฉพาะทำเลสาทร ถนนวิทยุ ทองหล่อ”

เดินหน้าไล่ล่าอนาคต

นายเศรษฐากล่าวถึงโอกาสทางธุรกิจในการเจาะตลาดลูกค้าต่างชาติว่า แนวโน้มเป็นตลาดที่ฐานลูกค้าเติบโตต่อเนื่อง กรณีการลงทุนสาขาไม่ได้มองแค่เมืองจีน แต่สนใจลงทุนขยายไปถึงยุโรปด้วย อย่างตลาดยุโรปตอนนี้ลูกค้าเริ่มกลับมาเมืองไทย อาทิ สแกนดิเนเวียน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน รวมทั้งสนใจลงทุนรองรับตลาดประชากรผู้สูงวัยหรือตลาดวัยเกษียณ โดยแสนสิริเตรียมประกาศแผนลงทุนในปี 2561 รูปแบบร่วมมือกับสถาบันสุขภาพหลายแห่ง เพราะมองภาพใหญ่ว่าเป็นเทรนด์ใหญ่ของโลกในตอนนี้ การลงทุนพัฒนาโครงการรองรับที่ต้องใช้เวลาก่อสร้าง 4-5 ปี สามารถทำได้เพราะเป็นตลาดที่มีความยั่งยืน

“เราทำสำรวจจุดแข็งแสนสิริในสายตาลูกค้าต่างชาติ เรามีบริการหลังการขายหรือ CRM สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า เช่น บริการปล่อยเช่าสำหรับนักลงทุนจึงสร้างความเชื่อมั่น มีพนักงานสื่อสารกับลูกค้าแต่ละประเทศที่ซื้อไป โอนห้องไปแล้ว 2-3 ปี ท่อน้ำแตก ชักโครกเสีย เรียกพนักงานไปซ่อม ทุกอย่างสื่อสารบนมือถือหมด อย่างตลาดในฮ่องกงแบรนด์แสนสิริสตรองมาก กิจกรรมโรดโชว์เวลาใกล้กัน คู่แข่งจัดก่อนเรา 1 สัปดาห์ ลูกค้าบอกรอแสนสิริ เราขายเกิน 100 ล้านตลอด”

ล่าสุด แสนสิริมีการลงทุน 100 ล้านบาท ในด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัย แนวคิดร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ กำหนดแถลงข่าวเป็นทางการ 8 พฤศจิกายนนี้

“อสังหาฯในเครือแสนสิริ เราเอาของดีที่สุดในโลกมาให้ลูกค้า ทั้งผลิตภัณฑ์และการบริการ ทั่วโลกที่ไหนดีเราเอามาหมด วันที่ 8 พฤศจิกายนนี้หัวใจสำคัญคือการขับเคลื่อนธุรกิจแสนสิริอย่างยั่งยืน ขอเน้นคำนี้ก็แล้วกัน” นายเศรษฐากล่าว