ผู้ว่าฯ “อัศวิน” เปิดใจ เจ็บแต่จบ ปมสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว

การเปิดอภิปรายไม่วางใจ “รัฐบาลประยุทธ์” จะมีขึ้นวันที่ 16-20 ก.พ.นี้ หนึ่งในไฮไลต์ต้องมีนั่นคือสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวมี “กทม.-กรุงเทพหานคร” เป็นเจ้าของ และมี “กระทรวงมหาดไทย” กำกับ

ปัจจุบันรอ “ครม.-คณะรัฐมนตรี” อนุมัติขยายสัญญา 30 ปี ให้กับ “BTSC-บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ” ซึ่งได้เจรจาตามคำสั่ง ม.44 จนได้ข้อสรุป เอกชนยอมรับเงื่อนไขรับภาระหนี้ 148,716 ล้านบาท แทน กทม. แลกกับสัมปทานสายสีเขียวหลักและส่วนต่อขยายทั้งโครงการ

แต่ยังไปไม่ถึงฝั่ง หลัง “กระทรวงคมนาคม” ออกมาท้วงติง ทำให้สัมทานสายสีเขียวที่บิ๊ก กทม.-บิ๊กมหาดไทย มั่นใจว่าจะฉลุย จึงยังค้างเติ่งมาถึงวันนี้

ขณะที่ “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” พ่อเมืองเสาชิงช้า เดินหน้าประกาศเก็บค่าโดยสารใหม่อัตรา 15-104 บาท เป็นการชั่วคราว ระหว่างรอครม.เคาะสัมปทาน หลัง BTSC ทำหนังสือทวงหนี้ค่าจ้างเดินรถและงานระบบที่ติดค้างกว่า 30,000 ล้านบาท ภายใน 60 วันหรือภายในวันที่ 1 เม.ย.นี้

หลังออกประกาศมีเสียงกร่นด่าเป็นระยะ แต่ “อัศวิน” ก็ยังยืนกรานจะเก็บเพื่อนำเงินไปจ่ายหนี้ แต่สุดท้ายมาเปลี่ยนใจในกลางดึกของวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมาขอเลื่อนเก็บค่าโดยสารใหม่ออกไปก่อน เนื่องจากรัฐบาลมีนโบายให้ลดภาระประชาชนในช่วงการระบาดของโควิด-19

จากท่าที “อัศวิน” ที่เปลี่ยนไป ทางหนึ่งเพื่อลดความร้อนแรงปมสัมปทานสายสีเขียวก่อนที่ “บิ๊กป๊อก-พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา” จะถูกขย่มบนเวทีอภิปราย แต่อีทางหนึ่งก็ยังมีความเคลืองแคลงสงสัย

เลื่อนเก็บ 104 บาท คิดเองหรือมีแรงบีบ

เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2564 พล.ต.อ.อัศวิน เปิดเผยว่า การที่เลื่อนเก็บค่าโดยสารอัตราใหม่ 15-104 บาท ซึ่งจะเริ่มเก็บวันที่ 16 ก.พ. 2564 ออกไป เพราะเห็นว่าประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เรียกไปหารือแต่อย่างใด

ส่วนที่นายกรัฐมนตรีโพสต์ข้อความขอบคุณเมื่อช่วงเช้า ยังไม่รู้เรื่องเลย แต่ใจจริงเราเห็นใจประชาชน และขอย้ำว่าไม่มีใครไปฟ้องกดดันอะไร ส่วนจะปล่อยให้ส่วนต่อช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคตและช่วงแบริ่ง – เคหะสมุทรปราการ วิ่งโดยไม่เก็บค่าโดยสารอีกนานหรือไม่ ยังไม่ทราบ แต่เบื้องต้นน่าจะภายใน 60 วันตามที่ BTSC ยื่นทวงหนี้มา คือถึงวันที่ 1 เม.ย.ตอนนี้ก็ภาวนาให้มันจบ เจ็บแต่จบ ผู้ว่าอัศวินยอมโดนด่าได้

เดิมยืนกรานจะเก็บแน่ๆ ทำไมจู่ถึงเปลี่ยนใจ

ผมมีสามัญสำนึก(ชี้ไปที่หัว) คิดเป็นนะ เคยรับราชการสูงสุดมาแล้ว เขาคงไม่ตั้งผมหรอก ถ้าผมคิดไม่เป็น ผมเป็นตำรวจที่มีชื่อเสียงพอสมควรในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)ส่วนถูกมองว่ากลับไปกลับมา จริงๆมันก็กลับไปกลับมาได้ เหมือนคุณมีคนมาจีบคุณก็รับรักเขาไป แต่ตอนหลังเห็นคนนี้ทำตัวเหลวแหลก ก็ไม่รับรัก มันก็กลับไปกลับมาได้

ส่วนที่พรรคภูมิใจไทยไปยื่นฟ้องศาลปกครองเกี่ยวกับประเด็นนี้ ขอบอกว่าผู้ว่าอัศวินไม่เคยกลัวใคร จะไปไต่สวนก็ไปไต่สวนไป ก็แล้วแต่เขา เราไม่เกี่ยว

ค่าตั๋วจะถูกกว่า 65 บาท ได้อีกไหม เห็นนายกฯสั่งให้เจรจาใหม่

เรื่องนี้ต้องขอคุยกันอีกรอบหนึ่ง ส่วนนายกรัฐมนตรีอยากให้กลับไปดูเรื่องโครงสร้างราคาอีกรอบนั้น ก็กำลังดูอยู่แต่คู่สัญญาจะยอมไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะสัมปทานหลัก อ่อนนุช – หมอชิต/สนามกีฬาฯ-ตากสิน หมดอายุปี 2572 กทม.ไม่ยุ่งอยู่แล้ว

แต่ส่วนต่อขยายสายเหนือและสายใต้ ต้องยอมรับความจริงว่าไม่มีใครมาลงทุน เพราะมันไม่คุ้ม เอกชนรายไหนกล้าเข้ามาขอรับสัมปทาน เข้ามาเลยยินดี แต่คุณจะเอารถที่ไหนมาวิ่ง แล้วจะต่อสัมปทานกี่ปี ค่าโดยสารจะเก็บเท่าไหร่ ตอบได้หรือไม่ ไม่มีทางเลย เพราะมีบริษัทเดิมที่ดูสายหลักอยู่ตรงกลาง ธุรกิจถ้าไม่มีกำไรก็ไม่มีใครทำ

หลังอภิปรายคาดว่า ครม.จะอนุมัติสัมปทานสายสีเขียว

ต้องไปถามพี่ป๊อก-พลเอกอนุพงษ์จะดีกว่า เพราะตอนนี้ถือเรื่องหลุดจากมือกทม.แล้ว ทางพลเอกอนุพงษ์ก็เคยกล่าวว่า ได้เสนอเรื่องถึงสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้ว

ถึงตอนนี้ก็ยืนยันว่า กทม.ทำถูกกฎหมายทั้งหมด ไม่ผิดอะไรเลย กระบวนการต่างๆที่กทม.เลื่อนเก็บค่าโดยสารออกไป ไม่มีแรงกดดันให้ลดราคา ไม่มีหรอก เราเห็นใจประชาชนเองจริงๆ

ถ้าครบ 60 วันที่ BTSC ยื่นโนติสแล้ว ครม. ยังไม่อนุมัติสัมปทาน กทม. จะทำยังไง

เขาจะฟ้องก็ต้องปล่อยให้เขาฟ้องไป เราไม่ได้หนี แต่ตอนนี้ไม่มี จึงยังไม่จ่าย แต่ยังมีเวลาหาทางออกร่วมกันอยู่ จะเอาเงินจากที่ไหนไปให้ เข้าตาจน ต้องของเงินสภากทม.

ในวันนี้(10ก.พ.) ได้ยื่นขออนุมัติงบประมาณจากสภากทม.เพื่อจ่ายหนี้ 8,000-9,000 แต่สภาไม่อนุมัติ โดยไม่ได้ให้เหตุผล ส่วนจะต้องไปดำเนินการขอเจรจากับ BTSC หรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย เพราะหน้าที่นี้ถือว่าพ้นมือ กทม.แล้ว

ที่มีคนบอกว่า กทม.มีเงินสะสมอยู่ 50,000 ล้านบาททำไมไม่เอาออมาจ่าย ก็จะบอกว่าเงินดังกล่าวผู้ว่าฯไม่มีอำนาจถอนมาใช้เองได้ ต้องเสนอให้สภากทม.เห็นชอบ ซึ่งอย่างที่ได้บอกไปว่า วันนี้สภากทม.ก็ไม่อนุญาตให้เอาเงินตรงนี้ไปใช้

ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุดตอนนี้คือ การต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับ BTSC ซึ่งสภากทม.ก็เห็นด้วย ขณะที่อีกทางหนึ่งจะทำเรื่องของบประมาณอุดหนุนกับรัฐบาล พร้อมแจ้งเหตุผลว่า สภากทม.ไม่ให้

ที่มีบางคนบอกว่า BTSC ที่ลงทุนสายหลักเองทั้งหมดเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนนี่ได้กำไรแล้ว ส่วนที่เหลือต้องคืนรัฐนั้น จริงๆแล้ว ตัวรัฐบาลเองต้องช่วยกทม.บ้าง โครงการรถไฟฟ้าสายอื่นๆรัฐช่วยหมด ยกเว้นสายสีเขียวให้ กทม.แบกหนี้    แม้ว่าประชาชนจะบอกว่าค่าโดยสารสูงสุด 65 บาทยังแพงอยู่ แต่ขอยืนยันว่า หากเปรียบเทียบกับสายอื่นแบบเฉลี่ยต่อกม.รถไฟฟ้าสายสีเขียวถูกกว่าแน่นอน

ทำไมกทม.ไม่ทำเองหลังหมดสัมปทาน

คิดว่าอะไรก็แล้วแต่ถ้าเอกชนทำจะมีผลประกอบการที่เป็นกำไรมากกว่า ถ้ารัฐทำก็มีการเจ๊งทุกอย่าง เช่น รถเมล์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่ผ่านมาประสบภาวะขาดทุนโดยตลอด เมื่อเทียบกับเอกชนที่ทำรถเมล์โดยสารอย่างของนางสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว กลับทำแล้วรวย ทั้งๆที่วิ่งรถเมล์เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม กทม.ก็ไม่ได้หวังกำไรสูงสุด เพราะเข้าใจดีว่าหน้าที่ของรัฐคือการจัดให้มีบริหารขนส่งสาธารณะบริการประชาชนอยู่แล้ว ซึ่งเราเก็บภาษีมาจากเขาก็ต้องบริการประชาชน

แต่รถไฟฟ้าสายสีเขียวยังมีภาระหนี้ที่เกิดจากการเดินรถอยู่ แม้ที่ประชุมสภากทม.จะอนุมัติให้กันงบชดเชยให้BTSC ไปเลย ปีละ 3,500-4,000 ล้านบาทถึงปี 2572 ท่านอย่าลืมว่ามีภาระดอกเบี้ยอีก ซึ่งเดินตลอดทุกวินาที

เจรจากับ BTS ไว้อย่างไร

ตามหลักการที่คุยกับ BTSC ไว้เรื่องการต่อสัญญาสัมปทาน ก็ตกลงกันว่า BTSC จะรับภาระหนี้ทั้งหมด กทม.ก็ยกภูเขาออกจากอก มันเป็นเรื่องบาปกรรมที่เราไม่ได้ทำ ทั้งๆที่ตนไม่ได้เป็นคนก่อ แล้วการที่มีคนบอกว่า กทม.มีเงินสะสม 50,000 ล้านบาทไม่เอามาจ่าย ก็หนี้ที่มีเกี่ยวกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวเบ็ดเสร็จอยู่มี่ 120,000 ล้านบาท

ถ้าเอาเงินมาลงกับบริการสาธารณะอย่างเดียว แล้วงานอื่นๆ ขยะไม่ต้องเก็บเหรอ น้ำท่วมไม่ต้องขุดคลองเหรอ ฝุ่น PM2.5 ไม่ต้องแก้เหรอ การศึกษาไม่ต้องไปให้เลยใช่หรือไม่ ซึ่งงบประมาณปี2564 อยู่ที่ 75,500 ล้านบาท แต่เป็นงบผูกพันโครงการต่างๆ ต้องเกลี่ยไปให้งานด้านต่างๆ

สมมติให้เงินจ่ายหนี้ด้านงานโครงสร้าง 57,000 ล้านบาท ผูกพันหนี้ในปีต่อๆไป โดยจะให้มาหวังน้ำบ่อหน้าเก็บภาษีใหม่ในภายหน้าเหรอ มันมีเรื่องต้องทำอีกหลายเรื่อง

ผมไม่ได้บอกว่าการบริการสาธารณะไม่ดี แต่กทม.ต้องดูแลหลายๆส่วน เก็บขยะ น้ำท่วม PM2.5 โควิด ก็ต้องตรวจนั่นตรวจนี่ ตั้งด่านก็ 2 เดือนแล้ว ใช้คนวันละ 100 ทุกวัน ค่าข้าวค่ากิน มันพูดยากนะ เห็นใจผมเถอะ กทม.ไม่ได้ถังแตก ยังอู้ฟู่อยู่(หัวเราะ)

จะลงสมัครผู้ว่าฯกทม.หรือไม่

ยังไม่รู้จะลงสมัครทำไม เพราะตอนนี้ก็เป็นผู้ว่าอยู่ ไว้ใกล้ๆเลือกตั้งเมื่อไหร่ค่อยตัดสินใจ เพราะเมื่อประกาศเลือกตั้งก็มีเวลาตัดสินใจอีก 90 วัน  ส่วนจะมีพรรคการเมืองใดมาทาบทามหรือไม่ ตอนนี้มีแต่”พักผ่อน นอนหลับ”