สัมภาษณ์พิเศษ
นับเป็นบริษัทรับเหมาค่ายมหาชนที่กำลังมือขึ้นไม่น้อย สำหรับ “เนาวรัตน์พัฒนาการ” จากเมื่อปี 2519 ที่ก่อตั้งบริษัทมาด้วยทุนจดทะเบียน 4 ล้านบาท จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและผลิตเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง ขยับขยายธุรกิจจนบริษัทกลายเป็นรับเหมาในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีรายได้แตะหมื่นล้านบาท ติดระดับท็อป 10
ปัจจุบัน “เนาวรัตน์พัฒนาการ” ไม่ได้มีเพียงธุรกิจรับเหมา เมื่อปี 2549 ได้ร่วมทุนกับพันธมิตร ลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ “ดิ อิสสระ ลาดพร้าว” มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท และพัฒนาที่ดินที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เนื้อที่ 20 ไร่ มูลค่า 500 ล้านบาท
- “พลังงานไฮโดรเจน” ถูกกว่าน้ำมัน 60% ไทยเริ่มศึกษาแต่ เยอรมัน กำลังจะเลิกใช้
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
และยังขยายการลงทุนโรงงานเสาเข็ม เนื้อที่ 10 ไร่ ที่เมืองย่างกุ้ง รองรับการขยายธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศเมียนมา และลงทุนสร้างโรงแรมที่ทวายอีกด้วย
“พลพัฒ กรรณสูต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในปี 2563 บริษัทมีผลประกอบการอยู่ที่ 9,928 ล้านบาท และในปี 2564 ตั้งเป้าจะมีรายได้ 13,000 ล้านบาท เติบโต 30% เนื่องจากมีโครงการก่อสร้างใหม่จะรับรู้ในปีนี้
เช่น ระบบไฟฟ้า งานสร้างรันเวย์ 3 สนามบินสุวรรณภูมิ สร้างทางขับขนานพร้อมระบบไฟฟ้าสนามบินกระบี่ สร้างระบบทางขับขนานด้านทิศเหนือและปรับปรุงทางขับท้ายหลุมจอดพร้อมทางขับสนามบินแม่ฟ้าหลวง อุโมงค์แยกท่าพระ
รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) อุโมงค์ทางเดินลอดถนนหน้าพระลานและถนนมหาราช ก่อสร้างงานโยธา งานสถาปัตยกรรมและงานบริการในพื้นที่ก่อสร้าง บี.กริม เพาเวอร์ โครงการในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย
และรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ซึ่งบริษัทได้งานสัญญาที่ 3-2 อุโมงค์ช่วงมวกเหล็กและลำตะคอง ระยะทาง 12.23 กม. วงเงิน 4,279 ล้านบาท เซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2563 ล่าสุดวันที่ 29 มี.ค. 2564 เซ็นสัญญาที่ 4-3 ช่วงนวนคร-บ้านโพ ร่วมกับ บจ.ไชน่า สเตท คอนสตรัคชั่นฯ และ บจ.เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) วงเงิน 11,525.36 ล้านบาท
โดยบริษัทได้งานตามสัดส่วนการถือหุ้น 30% คิดเป็นวงเงิน 3,457 ล้านบาท เป็นงานก่อสร้างโครงสร้างทางรถไฟยกระดับ ระยะทาง 23 กม. สร้างทางวิ่งเข้าศูนย์ซ่อมบำรุง งานอาคารและสิ่งปลูกสร้างรองรับงานระบบรถไฟฟ้า งานระบายน้ำ งานรื้อย้ายราง ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ
“ปีนี้สถานการณ์การประมูลงานเริ่มดีขึ้น รัฐมีการเปิดประมูลหลายโครงการ เช่น รถไฟทางคู่ อุโมงค์ส่งน้ำ ระบบไฟฟ้า งานปรับปรุงสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น คาดว่าจะได้งานใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท ปัจจุบันเรามีงานในมือกว่า 30 โครงการ มูลค่ากว่า 32,131 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้อีก 3 ปี เฉลี่ยปีละ 10,000 กว่าล้านบาท เมื่อปี 2561 เรามีรายได้เกิน 10,000 ล้านบาท และปีนี้เราจะกลับไปสู่จุดนั้น”
นายพลพัฒกล่าวอีกว่า ล่าสุดบริษัทได้ยื่นซองประมูล e-Bidding โครงการการประปานครหลวง (กปน.) จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 17,058.93 ล้านบาท โดยร่วมกับ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ประกอบด้วย 1.อุโมงค์ส่งน้ำแนวคลองมหาสวัสดิ์ จากโรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์-ถนนราชพฤกษ์ และหอปรับแรงดันที่โรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ 2,719.92 ล้านบาท 2.อุโมงค์ส่งน้ำแนวถนนราชพฤกษ์ จากคลองมหาสวัสดิ์-ถนนเพชรเกษม 4,022.12 ล้านบาท
3.อุโมงค์ส่งน้ำแนวถนนกาญจนาภิเษก จากถนนกัลปพฤกษ์-สถานีสูบจ่ายน้ำบางมด 5,357.59 ล้านบาท และ 4.อุโมงค์ส่งน้ำแนวถนนกาญจนาภิเษกและถนนทางรถไฟสายเก่า จากสถานีสูบจ่ายน้ำบางมด-สถานีสูบจ่ายน้ำสำโรง 4,959.30 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอประกาศผลประมูล
นายพลพัฒกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังได้ซื้อซองประมูลโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กม. วงเงินรวม 72,920 ล้านบาท โดยซื้อทั้ง 3 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว ระยะทาง 103 กม. ราคากลาง 26,599.16 ล้านบาท สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย ระยะทาง 132 กม. ราคากลาง 26,913.78 ล้านบาท
และสัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 87 กม. ราคากลาง 19,406.31 ล้านบาท ส่วนสายบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กม. กรอบวงเงินรวม 55,458 ล้านบาท บริษัทยังไม่ตัดสินใจที่จะซื้อซอง ขอเวลาพิจารณาก่อน
“การยื่นซองประมูลเนื่องจากเป็นงานขนาดใหญ่ เราคงต้องหาพาร์ตเนอร์มาร่วม อาจจะเป็นบริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอทฯ อิตาเลียนไทย และบริษัทยังสนใจจะซื้อซองประมูลโครงการทางด่วนสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนตะวันตก จะเปิดประมูลใหม่อีก 2 สัญญา”
นายพลพัฒยังประเมินสถานการณ์ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปีนี้ว่ามีการแข่งขันด้านราคาค่อนข้างสูง รวมถึงมีปัจจัยเสี่ยง เช่น ปัญหาแรงงานขาดแคลน ต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะเหล็กเส้นที่ราคาปรับขึ้นจาก 16-17 บาท/กิโลกรัม เป็น 21-22 บาท/กิโลกรัม เป็นต้น
ขณะที่ธุรกิจในประเทศเมียนมา จากสถานการณ์การเมืองที่รุนแรงในปัจจุบัน บริษัทได้ปิดโรงงานผลิตเสาเข็มและโรงแรม รอจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ไม่ใหญ่มาก