Q2/64 “อัลติจูด ฟอเรส” เดินหน้าเปิดบ้านแบรนด์ใหม่ 2 ทำเลในเมือง

“อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์” เดินหน้าลงทุนไตามาส 2/64 เปิดบ้านเซ็กเมนต์ใหม่ “อัลติจูด ฟอเรส” มูลค่ารวม 998 ล้านบาท ตั้งการ์ดสูงรับมือโควิดจับมือ “คีนน์” พัฒนาที่อยู่อาศัยไฮจีนิก โฮม และคอมมูนิตี้ (HYGIENIC HOME & COMMUNITY) ในโครงการอัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง 

วันที่ 11 พฤษภาคม 2564 นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ ALTITUDE เปิดเผยว่า ไตรมาส 2/64 ยริษัทเตรียมเปิดตัวเซ็กเมนต์ใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการอัลติจูด ฟอเรสต์ รัชดา พรีเมียมทาวน์โฮม จำนวน 39 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท และ 2. โครงการอัลติจูด ฟอเรสต์ อารีย์-โมนูเมนต์ บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ 10 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 28 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้ง 2 โครงการ 998 ล้านบาท

สำหรับคอนเซ็ปต์การออกแบบโครงการใช้หลักจิตวิทยาในการสร้างบ้าน เพื่อเจาะลูกค้ากลุ่ม “ยูนีค” (UNIQUE) ตอบโจทย์ความเป็นเอกลักษณ์ของผู้อยู่อาศัย และให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทุกแง่มุมของการใช้ชีวิต 

ประกอบด้วย 1. MIND-SPACE พื้นที่ว่างเปล่า “พื้นที่ที่ให้ทุกวินาทีมีความหมาย” ให้คุณเติมเต็มด้วยจิตใจและเป็นตัวเองมากที่สุด 2. เทคโนโลยี GREENERY SPHERE เทคโนโลยีสะอาดหมุนเวียน พร้อมด้วยเทคโนโลยีความสะอาดหมุนเวียน นวัตกรรมไฮจีนิกโฮม (HYGIENIC HOME) และเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกอีกมากมาย เพื่อการอยู่อาศัยที่ยั่งยืน 

ซึ่งมาพร้อมส่วนกลางที่เต็มอิ่มกับความสงบ โดยบ้านต้นไม้ที่ดีไซน์ด้วยกระจกทั้งหลังโอบล้อมต้นไม้ใหญ่ ดีไซน์ของบ้านที่ออกแบบมาอย่างเข้าใจทั้งทิศทางลม และการรับแสงแดดเป็นอย่างดี เป็นพื้นที่ที่ให้ลูกบ้านได้มาทำกิจกรรมร่วมกันในระยะยาว

ทั้งนี้ ช่วง 1 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันพฤติกรรมผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ปรับเปลี่ยนและเรียนรู้วิถีชีวิตแบบนาวนอร์มอล (NOW NORMAL) มีผลกระทบมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการผันเปลี่ยนเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทำให้ผู้คนนิยมอยู่อาศัยในบ้านมากขึ้นและออกจากบ้านน้อยลงเพื่อลดความเสี่ยง บริษัทจึงพัฒนาบ้านไฮจีนิก โฮม และคอมมูนิตี้ (HYGIENIC HOME & COMMUNITY) เพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด EVERYONE CAN SAFE AT HOME 

โดยร่วมมือกับบริษัท คีนน์ ผู้นำนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม พัฒนานวัตกรรมไฮจินิก โฮม ที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้วยรางวัลเกียรติยศโดดเด่นในระดับอาเซียน โดยให้ “อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง” เป็นโครงการนำร่องในการพัฒนา และนำไปใช้กับทุกโครงการที่กำลังก่อสร้าง

นายชยพลอัพเดตยอดขายโครงการด้วยว่า โครงการอัลติจูด คราฟ บางนา ซึ่งยอดขายแรงต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา สร้างยอดขายในปัจจุบัน ณ สิ้นไตรมาส 1/64 รวมทั้งสิ้น 540 ล้านบาท พร้อมปิดโครงการโฮมออฟฟิศ พรูฟ พระราม 9 และบ้านเดี่ยว อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 

และมีโปรเจ็กต์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพร้อมอยู่พร้อมโอน 5 โครงการปลายปีนี้ ได้แก่ 1. โครงการอัลติจูด พรูฟ สาทร โฮมออฟฟิศ ปัจจุบัน sold out แล้ว, 2. โครงการอัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง luxury condominium ปัจจุบันมียอดขาย 60%

3. โครงการอัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ ปัจจุบันมียอดขาย 60%, 4. โครงการอัลติจูด คราฟ บางนา ทาวน์โฮมโครงการใหม่ที่กำลังเริ่มพัฒนาอยู่ ซึ่งจะทยอยส่งมอบในไตรมาส 3 ไตรมาส 4 ปีนี้ และ 5. โครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ สุขุมวิท ทั้งนี้ คาดว่าจะปิดยอดขายปลายปีนี้ให้ได้ตามเป้าหมาย 2,015 ล้านบาท

นอกจากนี้ เพื่อตอบรับสถานการณ์ในปัจจุบันที่โลกเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา อัลติจูดได้ปรับกลยุทธ์การขายวิถีใหม่ “REAL LIVE 720 DEGREE” หรือ นวัตกรรมเรียลไลฟ์ 720 องศา ภายใต้แนวคิด ANYONE CAN BUY ANYWHERE & ANYTIME ซึ่งเป็นนวัตกรรมเยี่ยมชมโครงการที่สามารถสัมผัสประสบการณ์เสมือนจริง 720 องศา ทั้งการชมบ้านตัวอย่าง ชมส่วนกลางเสมือนจริงได้รอบทิศทาง และสามารถทำ POP UP SPACE ออกแบบบ้านตามไลฟ์สไตล์ที่ชอบด้วยตัวเอง นับเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของรูปแบบการขายให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ที่เหนือกว่าของการซื้อที่อยู่อาศัย

โดยนำร่องนวัตกรรมชมบ้านแบบเรียลไลฟ์ 720 องศา กับแบรนด์น้องใหม่ “อัลติจูด คราฟ บางนา” ซึ่งเปิดตัวเมื่อช่วงปลายปี 2563 ถือว่าประสบความสำเร็จในการขายก่อนเปิดโครงการจริง (EARLY BIRD) ด้วยยอดขายต่อเนื่องถึงปัจจุบันกว่า 540 ล้านบาท พร้อม SOLD OUT 125 ยูนิต ซึ่งเป็นการขายคละแบบบ้าน 3 แบบ จากทั้งหมด 402 ยูนิต ในโครงการ โดยมีมูลค่าโครงการรวม 1,469 ล้านบาท และเตรียมนำนวัตกรรมนี้ไปใช้กับทุกโครงการที่จะเปิดใหม่

ด้านนายขวัญชัย เจริญยิ่งถาวรชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์ TURNKEY ASSET DEVELOPMENT ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา และใช้แนวคิด “CUSTOMIZE LIVING” ผ่านการสร้างโปรดักต์ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นและดีไซน์ ให้เหมาะกับชีวิตที่สุด และช่วยให้นักลงทุนเพิ่มศักยภาพของสินทรัพย์ได้ จึงทำให้อัลติจูดประสบความสำเร็จในการสร้างยอดขายจากการรุกตลาดคอนโดมิเนียมและพรีเมียมทาวน์โฮม 

ล่าสุดเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและวางเป้าหมายครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์มากยิ่งขึ้น อัลติจูดจึงมีแผนรุกตลาดบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมในระดับราคาเริ่มต้น 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีดีมานด์ในตลาด และมีศักยภาพในการซื้อ ซึ่งเห็นได้จากความสำเร็จจากการปิดขายโฮมออฟฟิศอย่าง อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 ในระดับราคา 13.9-17.9 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน ในระดับราคา 28 ล้านบาท

“ในปีนี้เป็นปีของตลาดของลูกค้าซื้ออยู่เอง โดยเฉพาะในเซ็กเมนต์ระดับบนราคาที่ผู้ซื้อมีศักยภาพตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป นับเป็นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การซื้อเพื่ออยู่อาศัยอย่างแท้จริง อัลติจูดเชื่อมั่นว่า จากจุดเด่นและความแข็งแกร่งในการลด Pain Point และการช่วยลดต้นทุนการใช้ชีวิต ทั้งหมดมาจากความเข้าใจถึงความต้องการลูกค้าอย่างแท้จริงจนพัฒนาสินค้าได้อย่างตรงจุด สู่การออกแบบที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยได้จริง” นายขวัญชัยกล่าว

สำหรับ Turnkey Asset Management เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เป็นจุดเด่นของอัลติจูด คือในตลาดมีกลุ่มคนที่เป็นแลนด์ลอร์ดที่มีที่ดินที่มีศักยภาพหรือสามารถพัฒนาได้ ซึ่งหลายคนอาจมีความคิดที่จะพัฒนาโครงการเองแต่ไม่เคยทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีทีมงาน และไม่มีประสบการณ์ ทั้งนี้ โมเดล Turnkey Asset Management เป็นการเข้าไปบริหารจัดการหรือสร้างมูลค่าให้กับที่ดินนั้น 

ด้านสถานการณ์โควิดระลอก 3 ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดในเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วง low season ของอสังหาฯ เพราะเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ เมื่อเป็นช่วงสงกรานต์ประกอบกับมีโควิดระลอกใหม่ก็ทำให้ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ส่วนการเปิดโครงการใหม่อาจจะเลื่อนจากไตรมาส 2 ไปเป็นไตรมาส 3 ทั้งนี้ อัลติจูดมีการเตรียมความพร้อมในการปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการทำงาน หรือในส่วนที่เป็นไฮจีนิก โฮม 

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2565 จากเดิมที่ตั้งเป้า IPO ในปีนี้ แต่ด้วยสภาวะของตลาดทุนและสถานการณ์ปัจจุบัน จึงขยับเวลาออกไปอีก 1 ปี 

สำหรับตลาดแนวราบใจกลางเมือง นับว่าเป็นจุดเด่นของอัลติจูด และเป็นตลาดที่หาซัพพลายได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากปกติแล้วที่ดินใจกลางเมืองมักจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ ที่ดินที่จะสามารถพัฒนาเป็นโครงการแนวราบได้มีน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำเลอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่อัลติจูดพัฒนาโครงการอัลติจูด ฟอเรสต์ อารีย์-โมนูเมนต์ บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ 10 ยูนิต เพราะฉะนั้นจึงคิดว่าในยุคของโควิดเป็นยุคที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะต้องรีวิวแผนตัวเองทุก ๆ 3 เดือนเลยด้วยซ้ำ 

“สิ่งที่เราตกผลึกกับทีมงานของเราคือค้นพบว่า ในช่วงโควิด small is beautiful หมายความว่า เป็นโครงการไซซ์ที่ไม่ใหญ่แต่ขอให้เป็นทำเล 5 ดาว เป็นทำเลที่ดีจริง ๆ จะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ เพราะว่าจริง ๆ แล้วทุก area ในประเทศมีเรียลดีมานด์อยู่แล้ว ถ้าเราทำโครงการไซซ์ไม่ได้ใหญ่เกินไป เราสามารถเปิดได้ทุกทำเลเลย แทนที่เราจะเปิดโครงการเดียวใหญ่ ๆ เราก็แยกออกมาเปิดเป็น 2-3 โครงการที่เล็กหน่อย จะทำให้ตลาดตอบดีมานด์ของมัน และสามารถไปได้ค่อนข้างดี” นายขวัญชัยกล่าว

“ตัวโปรดักต์เป็นเรื่องสำคัญ วันนี้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดแล้วก็มีคู่เปรียบเทียบเยอะ มีโครงการคุณภาพจำนวนมาก ผมว่าการลงดีเทลของเราที่เราทำ เราไม่ได้จบงานที่สถาปนิกทำแล้วจบ แต่เราศึกษาถึงจิตวิทยาการอยู่อาศัยของผู้บริโภคร่วมกับพาร์ตเนอร์ต่าง ๆ แล้วก็พยายามทำโปรดักต์ให้ customise ให้ unique ที่แก่เพนพอยต์ให้ของชีวิตคนจริง ๆ ” นายชยพลกล่าวเพิ่มเติม

ด้านทิศทางที่อยู่อาศัยโดยรวมของปี 2564 จากเดิมที่เคยประมาณการเมื่อปีที่แล้วว่า ปีนี้จะเป็น positive เทียบกับปีที่แล้ว แต่เมื่อมีเหตุการณ์พลิกล็อกเกิดโควิดระลอกใหม่ในช่วงเมษายนที่ผ่านมา ฉะนั้นจึงมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้อาจโตกว่าปีที่แล้วไม่ถึง 10% ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นกำลังบวก คือการผลักดันให้ต่างชาติสามารถซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองไทยได้ หากเรื่องนี้มีผลออกมาเป็น positive ก็จะเสริมกำลังในตลาดอสังหาฯได้ค่อนข้างเยอะ 

ทั้งนี้ สถานการณ์ปัจจุบันอาจจะเร็วเกินไปสำหรับการเปิดคอนโดมิเนียม ดังนั้น อัลจิจูดอาจเปิดคอนโดฯใหม่ในปีหน้า ส่วนปีนี้โครงการที่จะเปิดตัวจะเป็นโครงการแนวราบ และมุ่งเน้นการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯที่จะแล้วเสร็จ 2 โครงการในปีนี้