“กรมราง” ล้อมคอกวางหลัก 6 ประการ ตั้งชื่อสถานีรถไฟฟ้า “เข้าใจง่าย-กระชับ-ชัดเจน-ยั่งยืน-เจาะจง-เชื่อมโยงกัน”
วันที่ 1 ก.ค. 2564 นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการกำกับและบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง ครั้งที่ 1 เป็นการประชุมเพื่อร่วมกันพิจารณาข้อมูลการให้บริการรถไฟฟ้าแต่ละโครงการที่แตกต่างกัน ในเรื่องของการกำหนดการตั้งชื่อสถานีรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยแนวทางสำหรับการกำหนดชื่อและรหัสสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสาธารณะ
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- หุ้นกู้ออกใหม่ 12 บริษัทแห่ขายเดือน เม.ย.นี้ จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 7.40%
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
จากการศึกษาลักษณะเฉพาะของการตั้งชื่อสถานีขนส่งสาธารณะสากล ข้อมูลความคิดเห็นของประชาชน และตัวแทนของผู้ประกอบการเดินรถในปัจจุบัน รวมถึงการวิเคราะห์หลักการและปัจจัยที่เหมาะสมในการตั้งชื่อ สามารถสรุปหลักการตั้งชื่อและกำหนดรหัสสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสาธารณะ ดังนี้
1) ง่าย ชื่อสถานีรถไฟฟ้าจะต้องเป็นชื่อที่ง่าย และสามารถจดจำได้ง่าย
2) กระชับ ชื่อสถานีรถไฟฟ้าควรเป็นชื่อที่สั้น ได้ใจความโดยชื่อภาษาไทยควรมีความยาว ไม่เกิน 5 พยางค์ และชื่อภาษาอังกฤษควรใช้ตัวอักษรไม่เกิน 15 ตัวอักษร
3) มีความยั่งยืน ชื่อสถานีควรใช้ได้อย่างตลอดระยะเวลาที่สถานียังคงเปิดให้บริการอยู่
4) สามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน ชื่อสถานีจะต้องเอื้อให้ผู้เดินทางสามารถระบุตำแหน่ง หรือบริเวณที่ตั้งของสถานีได้อย่างชัดเจน และควรมีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ตั้งสถานี
5) เฉพาะเจาะจง ชื่อสถานีจะต้องไม่ซ้ำกัน หรือสร้างความสับสนแก่ผู้ใช้บริการ
6) มีความเชื่อมโยงกัน ชื่อสถานีจะต้องสามารถสร้างความเชื่อมโยงไปใช้ในการวางแผน การเดินทางได้ โดยเฉพาะชื่อสถานีที่เป็นสถานีเชื่อมต่อ ควรใช้ชื่อเดียวกันทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยมีการระบุความแตกต่างของเส้นทางโดยรหัสสถานี
ซึ่งการกำหนดสถานีในประเทศไทย ก็จะยึดหลักการเดียวกับหลักการของสากล โดยจะมีทั้งชื่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งคำประกาศภายในขบวนรถเพื่อแจ้งจุดเชื่อมต่อสถานี รูปแบบป้ายสัญลักษณ์ รหัสสีกำหนดเส้นทางรถไฟฟ้า ให้มีความเป็นมาตรฐานกลาง ลดความสับสนแก่ผู้ใช้บริการ
และเพื่อให้หน่วยงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าต่าง ๆ สามารถดำเนินการไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสมโดยไม่ล่าช้า รวมทั้งเป็นกรอบในการดำเนินการกรณีงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางอื่นในอนาคตต่อไป