ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2560 สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จัดสัมมนาเพื่อนำเสนอผลการศึกษาและรับฟังความคิดเห็นต่อร่างรายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาการจัดเก็บค่าผ่านทางรองรับการขนส่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
โดยมีนางวิไลรัตน์ ศิริโสภณศิลป์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เป็นประธานเปิดการสัมมนาฯ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคมผู้ประกอบการ เข้าร่วมฟัง
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
นางวิไลรัตน์กล่าวว่า ด้วยที่ตั้งของประเทศไทยมีศักยภาพ อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน จึงมีความเหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางการค้า คมนาคมขนส่ง และโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งยังมีโครงข่ายถนนครอบคลุมทั่วถึง สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างสมบูรณ์ ประกอบกับมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา
ปรากฏว่ามียานพาหนะต่างชาติเดินทางผ่านพรมแดน 28 แห่ง เข้ามาในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ค่าซ่อมบำรุงรักษาถนน ความสูญเสียจากอุบัติเหตุ มลภาวะทางอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงความเสี่ยงต่อภัยความมั่นคงของประเทศ
ในขณะที่ปัจจุบันประเทศสมาชิกอาเซียนบางประเทศเริ่มมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าประเทศและการใช้ทางแล้ว โดยล่าสุดประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ได้เริ่มนำระบบใบอนุญาตเข้าประเทศ Vehicle Entry Permit หรือ VEP มาใช้ประกอบกับการเรียกเก็บค่าใช้ถนน หรือ Road Charge กับรถต่างประเทศ ที่เดินทางเข้ามาในประเทศของตน
และในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศมาเลเซียจะนำระบบ VEP มาใช้บริเวณ ด่านพรมแดนทั้ง 8 แห่ง ระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย และจะนำไปใช้กับด่านพรมแดนระหว่างมาเลเซีย-บรูไน และมาเลเซีย-อินโดนีเซีย ต่อไปตามลำดับ
ดังนั้น สนข.จึงได้ศึกษาการจัดเก็บค่าผ่านทางรองรับการขนส่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.2560 จะแล้วเสร็จสิ้นปีนี้ โดยเป็นการศึกษาการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการนำยานพาหนะเข้าประเทศและค่าใช้ทางกับยานพาหนะต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย ที่เป็นประโยชน์ต่อการลดภาระงบประมาณค่าบำรุงรักษาทาง ที่รัฐบาลต้องเสียงบประมาณปีละ 15,000 ล้านบาทบูรณะรักษาทาง
รวมทั้งสร้างฐานข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการติดตามกำกับดูแลยานพาหนะต่างประเทศ เพื่อภารกิจความมั่นคง และสนับสนุนการวางแผนด้านบริการการท่องเที่ยวให้ตรงต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น
อีกทั้งจะมีผลประโยชน์ทางอ้อมที่จะเป็นเครื่องมือส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง (modal shift) จากทางถนนมาสู่ทางรางและทางน้ำในระยะยาวอีกด้วย
โดยผลจากการศึกษาได้กำหนดเแผนการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะแรก ปีที่ 1-3 ปี เป็นการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านแดนกับรถยนต์นั่ง 4 ล้อต่างชาติ ด้วยระบบ RFID และบัตรเติมเงิน (Contactless Smartcard) ซึ่งจะสามารถตรวจสอบ (Detecting) ยานพาหนะเข้า/ออกด่านชายแดนทั้ง 28 แห่งได้ จากสถิติปี 2560 มีปริมาณรถต่างชาติเข้าไทยจากทุกประเทศรวมกว่า 2.1 ล้านเที่ยวคัน
ระยะกลาง ปีที่ 4-7 ปี เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ทาง โดยติดตั้งระบบ GPS ซึ่งสามารถติดตาม (Tracking) ยานพาหนะต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทยได้ โดยสามารถระบุตำแหน่ง เส้นทาง ความเร็ว ของยานพาหนะได้
ระยะยาว ปีที่ 8-10 ปี จะพิจารณาขอบเขตการเก็บค่าผ่านทางฯ ไปยังรถยนต์ประเภทอื่นและพื้นที่ด่านชายแดนถาวรที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือมีแผนการก่อสร้างเพิ่มเติม เพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องตามสภาพเศรษฐกิจและนโยบายของภาครัฐด้วย
ทั้งนี้ ผู้ดำเนินการจัดเก็บค่าผ่านทาง อาจให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุนก่อสร้างติดตั้งระบบ ดำเนินการและบำรุงรักษา รับสัมปทาน 20 ปี คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 525 ล้านบาท โดยเอกชนจะได้ส่วนแบ่งรายได้จากค่าผ่านทาง
“หลังผลศึกษาแล้วเสร็จ จะดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เช่น เสนอฝ่ายนโยบาย เพราะจะต้องมีการปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สามารถมีอำนาจในการจัดเก็บได้ คาดว่าจะเห็นเป็นรูปแบบธรรมได้กลางปี 2561 และเริ่มจัดเก็บค่าผ่านทางได้ปลายปี เริ่มจากรถ 4 ล้อเป็นลำดับแรก โดยจะมีค่าธรรมเนียม 100 บาท ค่าผ่านทาง 42 บาท/คัน/เที่ยว ส่วนระยะที่ 2 มีค่าธรรมเนียม 500 บาท ส่วนค่าผ่านทางเก็บตามระยะทาง เริ่มต้น 42 บาท/คัน/เที่ยว จากนั้นเก็บกิโลเมตรละ 1.50 บาท”