ยูซิตี้ทุ่ม 2.5 หมื่นล้าน ปักหมุด 4 โปรเจ็กต์ไฮไลต์

อนาคต “บมจ.ยูซิตี้” กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง หลังจากเมื่อปี 2558 ได้เจ้าพ่อรถไฟฟ้าบีทีเอส ชุบชีวิตจาก “บมจ.แนเชอรัลพาร์ค” ให้กลับมามีชีวิตชีวา

ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทัพตั้งรับธุรกิจมีมูลค่ากว่า 5.2 หมื่นล้านบาท จากการทุ่มเม็ดเงินกว่า 1.2 หมื่นล้านบาทลุยซื้อโรงแรมในเครือเวียนนาเฮ้าส์ในแถบยุโรปมาบริหาร และลุยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่รับโอนจาก “ยูนิคอร์นฯ” ในเครือ บมจ.บีทีเอสกรุ๊ปทั้งที่ดินเปล่า สำนักงานและคอนโดมิเนียม

“ปิยพร พรรณเชษฐ์” ซีอีโอของ บมจ.ยูซิตี้ ฉายภาพว่า ขณะนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าบีทีเอสกรุ๊ปจะใช้ยูซิตี้เป็นแฟล็กชิปในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จากการนำแอสเสต มารวมกัน ซึ่งยูซิตี้ก็ต้องจัดพอร์ตตัวเองให้รองรับ มีตัดขายทรัพย์สินออกบางส่วนที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางบริษัทเน้นธุรกิจมีรายได้ประจำและถือครองในระยะยาว
ได้แก่

โรงแรมอวานีขอนแก่น, โรงแรมอนันตราเชียงใหม่ รีสอร์ท แอนด์ สปา, ที่ดินเปล่า จ.นครราชสีมากว่า 100 ไร่, โครงการพาร์ค อรัญ บลูเลอวาร์ด จ.สระแก้ว เป็นโครงการอาคารพาณิชย์, โครงการพาร์ค รามอินทรา คอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น จำนวน 206 ยูนิต, โครงการอนันตรา เชียงใหม่ เซอร์วิส สวีท คอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น จำนวน 44 ยูนิต, ที่ดินเปล่าที่ชลบุรีและจรัญสนิทวงศ์

โดยส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินอยู่ในทำเลรอบนอกกรุงเทพฯ ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงการที่เน้นทำเลแนวรถไฟฟ้าเป็นหลัก อีกทั้งบางส่วนมีอายุการใช้งานมานาน จะต้องมีการรีโนเวตครั้งใหญ่ใช้เงินลงทุนสูง เช่น โรงแรมอนันตรา เชียงใหม่ หรือโรงแรมอวานีที่ขอนแก่น ถ้าขายจะได้ผลตอบแทนดีกว่า

“โรงแรมกับที่อยู่อาศัยจะขายยกทั้งโครงการ รวมที่ดินเปล่าด้วย คิดว่าจะได้เงินประมาณ 3,000 ล้านบาท จะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป ตั้งเป้าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท รายได้หลักมาจากโรงแรมเวียนนาเฮ้าส์” นางสาวปิยพรกล่าวและว่า

จากการจัดพอร์ตทรัพย์สินของยูชิตี้ใหม่ นอกจากจะทำให้มีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากกว่า 4 หมื่นล้านบาท เป็น 5.2 หมื่นล้านบาท มีธุรกิจหลากหลายทั้งพัฒนาขายจากคอนโดฯบีทีเอส-แสนสิริ ที่พัฒนาไปแล้ว 10 โครงการกว่า 3 หมื่นล้านบาท อยู่ในแผน 9 โครงการจะพัฒนาปีหน้า และรายได้จากการเช่า เช่น สำนักงาน โรงแรม ทำให้อนาคตของยูซิตี้มีรายได้ที่สมดุล มั่นคง ยั่งยืนและเติบโตมากขึ้น

“การทำธุรกิจต่อไปของเราจะไม่มองระยะสั้นแล้ว ทุกอย่างต้องมองระยะยาว เช่น ตัวเราเองอยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว จากการบริหารพอร์ตโรงแรมในมือ ต้องดูว่าอะไรสำคัญที่สุด เพื่อมาต่อยอดกับธุรกิจ เราจะเปิดกว้างในการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์เชี่ยวชาญเพื่อเปิดประตูไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ อย่างเช่นที่เราอยู่ในกลุ่มบีทีเอสจะทำให้ทำธุรกิจหลาย ๆ อย่างในแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว ชมพูและเหลือง”

สำหรับโครงการจะลงทุนในปี 2561 “ซีอีโอยูซิตี้” ไล่เรียงไทม์ไลน์ มีโครงการเดอะยูนิคอร์น พื้นที่ 7 ไร่ติดบีทีเอสสถานีพญาไท มูลค่าโครงการ 9,500 ล้านบาท พัฒนาเป็นโครงการมิกส์ยูสสูง 51 ชั้น มีสำนักงานเกรดเอ จำนวน 12 ชั้น พื้นที่ 22,452 ตร.ม. โรงแรม 5 ดาว 14 ชั้น จำนวน 397 ห้อง พื้นที่รีเทล 1,600 ตร.ม. และพรีเมี่ยม เซอร์วิสเรสซิเดนท์ จำนวน 118 ยูนิต เริ่มก่อสร้างฐานรากแล้วจะใช้เวลา 4 ปี มีกำหนดเสร็จปี 2564

“โครงการหมอชิตคอมเพล็กซ์” พื้นที่ 11 ไร่ใกล้บีทีเอสหมอชิต มูลค่าโครงการ 9,400 ล้านบาท พัฒนาเป็นอาคารสำนักงาน 2 อาคาร สูง 36 ชั้น พื้นที่ 170,649 ตร.ม. จะเริ่มพัฒนาภายในปี 2561 แล้วเสร็จปี 2565

“โครงการพัฒนาที่ดินโรงภาษีร้อยชักสาม” พื้นที่ 5 ไร่ พัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 73 ห้อง และร้านอาหารพรีเมี่ยม อยู่ระหว่างคุยกับกรมธนารักษ์ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาสักระยะหนึ่งถึงจะได้เริ่มต้นก่อสร้าง

“โครงการโรงเรียนนานาชาติ ธนาซิตี้” พื้นที่ 119 ไร่ มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ซึ่งรับโอนมาจากบีทีเอสกรุ๊ป ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 โครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนารูปแบบคอมมิวนิตี้ของธนาซิตี้โมเดลใหม่

นอกจากนี้จะลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมของบีทีเอส-แสนสิริ 9 โครงการ และโรงแรมอีสตินที่ธนาซิตี้ที่รับโอนจากบีทีเอสจะเสร็จและเปิดบริการต้นปีหน้า

ส่วนแลนด์แบงก์ที่อยู่ในมือก็รอจังหวะพัฒนาโครงการ ไม่ว่าที่ดิน 50 ไร่ติดถนนลำลูกกาตรงรถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีคูคต ที่ดินย่านสุขสวัสดิ์ ราษฎร์บูรณะ และบางกะเจ้าที่ยังเหลือ 25 ไร่