Tips การติดฟิล์มรถยนต์เพื่อตอบโจทย์ชีวิตในยุคดิจิทัล

Tips การติดฟิล์มรถยนต์

หลายครั้งที่คนไทยมักจะตอบคำถามเพื่อนชาวต่างชาติว่าเมืองไทยมี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูร้อนมาก และฤดูร้อนที่สุด และเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนที่สุด คุณก็ขาดไม่ได้ที่จะต้องหาทางออกด้วยการคลายความร้อนในรูปแบบต่าง ๆ และยิ่งต้องใช้ชีวิตอยู่ในท้องถนนเป็นเวลานาน การติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์จึงเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้

ยิ่งในยุคดิจิทัลที่มีการใช้สัญญาณดิจิท้ลมากมากทั้ง WIFI และ 5G การเข้าถึงสัญญาณดิจิทัลในทุกพื้นที่จึงมีความสำคัญ การติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่มีคุณสมบัติไม่ปิดกั้นสัญญาณดิจิทัลจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อต้องเลือกฟิล์มติดรถยนต์

ถึงแม้จะมีร้านติดฟิล์มรถยนต์มากมาย แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าร้านไหนให้บริการที่ดี ติดฟิล์มรถยนต์ที่มีคุณภาพ คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับฟิล์มติดรถยนต์ จึงมีความจำเป็นอย่างยื่ง เพื่อให้คุณใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในยุคดิจิทัล

ทำความรู้จักกับฟิล์มรถยนต์ แบบไหนดีสำหรับคุณ

ฟิล์มรถยนต์ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ ในการลดความร้อนจากแสงแดด ป้องกันรังสี UV รังสี Infrared โดยใช้วัสดุที่มีลักษณะโปร่งใสในการช่วยกรองแสงแดด ป้องกันความร้อนที่จะเข้ามาสู่ตัวรถ รวมถึงการเข้าถึงสัญญาณดิจิทัลได้แม้อยู่ภายในตัวรถ ฟิล์มกรองแสงรถยนต์สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

  1. ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่ไม่มีส่วนผสมของสารป้องกันรังสีที่มาจากแสงแดด

ฟิล์มรถยนต์ชนิดนี้จะสามารถกรองได้เฉพาะแสงจากดวงอาทิตย์ เพื่อให้แสงอ่อนลงเท่านั้น  ไม่สามารถกรองแสงหรือลดอัตรายจากจากรังสีต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับแสดงแดดได้ สามารถป้องกันความร้อนได้เพียง 50% โดยมีอายุใช้งานสั้นเพียง 3-5 ปีเท่านั้น ฟิล์มชนิดนี้จึงมีราคาถูก แต่ไม่เป็นที่นิยม

  1. ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่มีส่วนผสมของสารป้องกันรังสีที่มาจากแสงแดด

ฟิล์มกรองแสงชนิดนี้ มีวัสดุพิเศษที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันรังสีต่าง ๆ ที่มีในแสงแดด ไม่ให้ทำอันตรายต่อมนุษย์รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ แบ่งออกเป็น 6 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทต่างมีคุณสมบัติแตกต่างกัน มีจุดเด่นและจุดด้อยที่สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกติดฟิล์มรถยนต์ โดยสามารถพิจารณาจากรายละเอียดดังนี้

1.ประเภทของฟิล์ม

  • ฟิล์มกันร้อน ช่วยลดรังสี UV และสารอันตรายต่าง ๆ ที่มากับแสงแดด กันความร้อนได้ดีเยี่ยม
  • ฟิล์มนิรภัย มีความหนาตั้งแต่ 4 มิล ขึ้นไป เป็นติดฟิล์มรถยนต์ที่มีคุณสมบัติในการช่วยยึดเกาะแผ่นกระจกให้คงเดิม เมื่อถูกกระแทก ช่วยให้รู้สึกปลอดภัยเมื่อรถเกิดอุบัติเหตุเสียหาย
  • ฟิล์มย้อมดำหรือฟิล์มย้อมสี ผ่านการย้อมสีมาหลายชั้น สามารถดูดซับแสงแดด แสงสว่างได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ป้องกันรังสี UV ลดแสงจ้าได้เพียงอย่างเดียว ไม่เหมาะกับแดดเมืองไทย
  • ฟิล์มเซรามิค สามารถกันความร้อนสูงสุดถึง 99% กันรังสี UV 99% เนื้อฟิล์มให้ความคมชัดสูงสุด มืดด้านนอกสว่างด้านใน ตอบโจทย์ทั้งกลางวันและกลางคืน
  • ฟิล์มที่มีการเคลือบโลหะ ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็ก ใช้โลหะเช่น อลูมิเนียมมาใช้ในการเคลือบ มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนได้ดี และสะท้อนรังสี UV จึงมีราคาค่อนข้างสูง 99% มีคุณสมบัติลดความร้อนได้ 35-90% เนื้อฟิล์มคล้ายกระจกเงา มีอายุการใช้งาน 3-7 ปี
  • ฟิล์มดิจิทัล ใช้เทคโนโลยีที่ทำให้ฟิล์มไม่ปิดกั้นสัญญาณใด ๆ เช่น WIFI, 5G,Radar ฯลฯ ถูกผลิตออกมาใช้ให้ทันยุคทันสมัยกับรถ Smart Car ที่ออกสู่ท้องตลาด ตอบโจทย์ชีวิตยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
  1. เทคโนโลยีในการผลิตฟิล์ม

  • การเคลือบฟิล์มด้วยแม่เหล็กแม็กเน็ท (Magnetron Sputtering Coating) คือเทคนิคที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในการติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ เนื่องจากทำให้ฟิล์มมีความสม่ำเสมอ โดยการชุบโลหะและเคลือบผิวฟิล์มด้วยสปัทเทอร์ เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ทันสมัยที่สุด
  • การฉาบสีฟิล์ม (Color Coating Film) คือการผสมกาวเข้ากับสี และฉาบลงบนฟิล์ม ไม่สามารถกันความร้อนได้ มีความมืดเมื่อมองจากทั้งภายในและภายนอก ไม่มีความทนทาน ราคาติดฟิล์มรถยนต์จึงค่อนข้างต่ำ
  • การย้อมสีของฟิล์มด้วยไอร้อน (Deep Dyeing Film) คือการฝังสีเข้าไปในชั้นฟิล์มให้มีความทนทานมากขึ้น แต่ไม่ได้ฉาบวัสดุกันความร้อน จึงทำได้เพียงลดความสว่าง ไม่ควรเปลี่ยนฟิล์มรถยนต์ประเภทนี้ เพราะมีความมืดจนเกินไป
  • การใช้ไอร้อนเคลือบสารให้กับฟิล์ม (Thermal Evaporation Coating) การผสมสารกันร้อนเข้าไปในเนื้อฟิล์ม เมื่อโลหะเปลี่ยนจากของแข็งกลายเป็นไออนุภาคที่ละเอียดขึ้น ไอโลหะจะไปติดที่เนื้อฟิล์ม เป็นที่นิยมในการนำไปติดฟิล์มรถยนต์

ข้อควรรู้ก่อนเลือกติดฟิล์มรถยนต์

การติดฟิล์มรถยนต์ทั้งที ควรศึกษาประเภทของฟิล์มที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณมากที่สุด เพราะฟิล์มกรองแสงรถยนต์นั้น จะอยู่คู่กับรถของคุณไปอีกหลายปีเลยทีเดียว และการเลือกซื้อฟิล์มที่มีคุณภาพต่ำ ราคาย่อมเยา ก็อาจทำให้ต้องเสียเวลาในการเปลี่ยนฟิล์มรถยนต์ใหม่โดยใช่เหตุ ฉะนั้นก่อนที่จะติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ควรเปรียบเทียบวัสดุในเนื้อฟิล์ม สีฟิล์ม ระดับความเข้มของฟิล์ม ตั้งแต่ระดับ 40, 60 และ 80 หรือมากกว่า เพื่อให้ได้ฟิล์มที่มีประสิทธิภาพ อย่าลืมมองดูสิ่งเหล่านี้

  1. การสะท้อนแสง

ฟิล์มที่มีแสงสะท้อนมีความเงามากเหมือนปรอทเป็นที่นิยมมากในสมัยอดีต  ยิ่งฟิล์มสะท้อนแสงมาก ความเงาของฟิล์มกรองแสงจะยิ่งมาก หากค่าสะท้อนสูงมากเกินไปอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

  1. ลดรังสี UV

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมืองไทยนั้นอากาศร้อนจัด การโดนแดดโดยตรงจะทำให้ร่างกายได้รับรังสี UV มากเกินไป ทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็วผิวหนังได้ในอนาคต ดังนั้นการติดฟิล์มรถยนต์จึงควรเลือกฟิล์มกรองแสงที่สามารถป้องกันรังสี UV ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ 99%

  1. อัตราลดความร้อนจากแสงแดด

เมื่ออุณหภูมิภายนอกสูง อุณหภูมิภายในรถก็จะสูงขึ้นตาม การเลือกติดฟิล์มรถยนต์ที่มีคุณสมบัติลดความร้อนจากแสงแดด ช่วยกันความร้อนได้ดี ไม่ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักจนเกินไป ช่วยประหยัดพลังงาน สามารถยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ภายในรถให้ยาวนาน

  1. อัตราลดความร้อนจากสปอตไลท์

จากการทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญ แสงจากสปอตไลท์มีค่าความร้อนที่สูงมาก หากการเปลี่ยนฟิล์มรถยนต์ ที่มีคุณสมบัติลดความร้อนจากสปอตไลท์ได้สูง จะช่วยลดความร้อนได้สูงเช่นกัน

  1. แสงต้องส่องผ่านได้

เมื่อคิดจะเปลี่ยนฟิล์มรถยนต์ คุณควรจะคำนึงถึงการมองเห็นทัศนียภาพภายนอกได้ด้วย ไม่ใช่เพียงเพื่อกรองแสงแดดเท่านั้น การติดฟิล์มที่มืดจนเกินไป จะทำให้คุณไม่รู้ถึงเหตุการณ์ภายนอกที่เกิดขึ้น หากติดฟิล์มรถยนต์ที่มีค่าแสงส่องผ่านน้อยกว่า 5% อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้

รุ่นของรถมีผลต่อการติดฟิล์มรถยนต์ด้วยเหตุนี้ราคาจึงไม่เท่ากัน

รถยนต์ที่ถูกจำหน่ายในท้องตลาดมีหลายรุ่นหลายยี่ห้อ การติดฟิล์มรถยนต์จึงต้องคำนึงถึงปัจจัยของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ขนาดของฟิล์มก็ต้องมีความเหมาะสมกับตัวรถ รถยนต์แต่ละรุ่นจึงมีการติดฟิล์มรถยนต์ราคาตามขนาดและรุ่นของรถ โดยแบ่งออกเป็น

  • รถยนต์ 4 ล้อ (รถเก๋ง) S, M, L (มี/ไม่มี Sunroof)
  • รถยนต์ 4 ล้อ (รถกระบะแคป รถกระบะตอนเดียว รถกระบะ 4 ประตู)
  • รถยนต์ที่ใหญ่กว่ารถยนต์ทั่วไป SUV รถ MPV รวมถึงรถตู้

ร้านติดฟิล์มรถยนต์จะคิดราคาตามขนาดของรถยนต์ รวมถึงรุ่นของฟิล์มกรองแสง หากใช้ฟิล์มกรองแสงที่ไม่มีคุณภาพ ราคาก็จะถูก แต่หากเลือกฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพดี แบรนด์ดัง กันความร้อนได้สูง ราคาก็จะสูงตาม

การติดฟิล์มรถยนต์มีการคิดราคาอย่างไรบ้าง

ร้านติดฟิล์มรถยนต์ทั่วไปจะมีการติดฟิล์มตามความความต้องการของผู้ขับขี่ บางคนอาจจะชื่นชอบฟิล์มที่มีสีมืด เพื่อความเป็นส่วนตัวและมั่นใจในการแก้ปัญหาความร้อน แต่อย่างไรกระจกหน้าก็จำเป็นต้องติดฟิล์มสว่าง การติดฟิล์มรถยนต์ส่วนใหญ่จะแยกราคาออกเป็น กระจกบานหน้า ราคากระจกบ้านข้าง กระจกหลัง และ Sunroof สำหรับรถที่มีหลังคาพิเศษ การติดฟิล์มรถยนต์ราคาเท่าไหร่นั้นจึงขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ขับขี่ เพราะรถยนต์แต่ละรุ่นมีขนาดที่ไม่เท่ากัน โดยปกติแล้วส่วนมากจะติดฟิล์มรถยนต์รอบคัน หากรถยนต์มีขนาดใหญ่ เช่น Honda Accord หรือ Toyota Camry จะมีราคาติดฟิล์มรถยนต์แพงกว่ารถยนตร์ขนาดเล็ก เช่น Honda City และToyota Vios

สรุป

เมื่อคำนึงถึงคุณสมบัติของฟิล์มกระจกรถยนต์จนได้ประเภทของฟิล์มที่ถูกใจแล้ว ก็ถึงเวลาเลือกร้านฟิล์มรถยนต์ที่ต้องการ การติดฟิล์มรถยนต์ต้องใช้เวลา คุณจึงควรเลือกร้านที่มีมาตรฐาน คุ้มค่ากับราคา และเวลาที่คุณจะต้องสูญเสียไป ฟิล์มรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในท้องตลาดคือฟิล์มเซรามิคที่สามารถป้องกันรังสี UV และลดความร้อนได้สูงถึง 99% มีความคมชัดสูง เห็นชัดทุกระยะแม้ในเวลากลางคืน  แต่ในปัจจุบันวิวัฒนาการของฟิล์มติดรถยนต์ก็ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการไม่ปิดกั้นสัญญาณดิจิทัลใด ๆ ตอบโจทย์วิถีชีวิตสมัยใหม่ในยุคดิจิทัล ถือเป็นโอกาสดีที่คุณจะได้ฟิล์มที่ล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น