“วราวุธ” จับมือ “ชัชชาติ” เดินหน้าแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งช่วยเหลือประชาชนบางขุนเทียน กรุงเทพฯ

“วราวุธ” จับมือ “ชัชชาติ”

วันพุธที่ 15 มีนาคม 2566 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่สำรวจและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง บริเวณบางขุนเทียน พร้อมรับฟังปัญหาและร่วมกันหาแนวทางการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวฯ จากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ณ อาคารอเนกประสงค์ โรงเรียนคลองพิทยาลงกรณ์ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร

นายวราวุธ ศิลปอาชา เปิดเผยว่าสาเหตุการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) การกัดเซาะชายฝั่งโดยธรรมชาติ เช่น คลื่น กระแสน้ำชายฝั่ง น้ำขึ้น น้ำลง ลมมรสุม และพายุ และ 2) การกัดเซาะชายฝั่ง จากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การสร้างสิ่งก่อสร้างริมชายฝั่ง การสร้างรอดักทราย การสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นปากร่องน้ำ เป็นต้น

โดยการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณบางขุนเทียนนั้น สาเหตุไม่ได้มาจากระดับน้ำทะเลขึ้นสูง สังเกตได้จากหลักเขตกรุงเทพมหานคร หลักที่ 28 แบ่งพื้นที่ระหว่างเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร กับจังหวัดสมุทรปราการ และหลักที่ 29 พื้นที่ระหว่างเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร กับจังหวัดสมุทรสาคร ที่จัดสร้างขึ้นหลังจากมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502 ตลอดระยะเวลา 60 ปี หลักเขตนี้ก็ยังโผล่พ้นเหนือน้ำ หากเกิดการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลอย่างมีนัยสำคัญ หลักเขตนี้ควรจะจมอยู่ใต้น้ำ

ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนและไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่อื่น พร้อมได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุดและได้มอบหมายนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ติดตามและกำกับการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด

จากการศึกษาล่าสุดพบว่า สาเหตุการทรุดตัวของแผ่นดิน เนื่องจากกรุงเทพมหานครเป็นพื้นดินอ่อนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ บางส่วนของกรุงเทพมหานคร จึงอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง รวมทั้งการสูบน้ำบาดาลในอดีต การก่อสร้างอาคารที่มีน้ำหนักมาก การถมคลองเปลี่ยนเป็นถนนทำให้พื้นที่รับน้ำที่เคยมีจำนวนมากในอดีตหายไป การกีดขวางและการอุดตันการระบายน้ำ เป็นต้น สถานการณ์โลกร้อนที่มีผลต่อการจมน้ำของกรุงเทพฯ มีผลกระทบต่อเนื่องมาจากการเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากปรากฏการณ์ลานีญา (La Nina) และเอลนีโญ (EI Nino) ที่ทำให้มีฝนมากหรือน้อยกว่าปกติ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกประเทศก็ให้ความสำคัญ ซึ่งปัจจุบัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อยู่ระหว่างปรับปรุงแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ หรือ UNFCCC : NAPs ภายใต้กรอบการดำเนินงานด้านการปรับตัวแคคูน UNFCCC: Cancun Agreement เพื่อเป็นกลไกและวิธีการในการระบุความจำเป็น ต่อการปรับตัวในระยะกลางและระยะยาว นำไปสู่การบูรณาการการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ากับนโยบาย แผนงาน และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและประกาศใช้ต่อไป

เขตบางขุนเทียน เป็นพื้นที่เพียงแห่งเดียวของกรุงเทพมหานครที่ติดทะเล ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรุงเทพมหานคร โดยสถานภาพชายฝั่งของกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน มีระยะทางชายฝั่ง ประมาณ 7.11 กิโลเมตร มีสภาพพื้นที่เป็นหาดโคลนอยู่ในแนวทางการฟื้นฟูเสถียรภาพชายฝั่ง (Coastal rehabilitation) เป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ได้มีการดำเนินการแก้ไขในพื้นที่ดังกล่าวแล้วทั้งหมด แต่ยังมีการกัดเซาะอยู่ประมาณ 2.60 กิโลเมตร และไม่มีการกัดเซาะเพิ่มระยะทาง 4.51 กิโลเมตร

ปัจจุบันมีโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ของกรุงเทพฯ ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น การปักเสาคอนกรีต เขื่อนหินป้องกันคลื่นนอกชายฝั่ง และเขื่อนหินทิ้ง เพื่อแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ภายหลังการก่อสร้างโครงสร้างป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง แนวชายฝั่งในเขตบางขุนเทียนเริ่มปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่งที่เป็นผลมาจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ในระยะเวลา 3 ปีย้อนหลัง

ทั้งนี้ ทส.ได้มีแนวทางบริหารจัดการแนวชายฝั่งทะเลเขตบางขุนเทียนเพื่อช่วยลดปัญหาที่อาจจะทำให้กรุงเทพมหานครจมใต้น้ำ โดยดำเนินการตามแนวทางการจัดทำแผนงาน โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 โดยใช้แนวทางฟื้นฟูเสถียรภาพชายฝั่งเป็นหลัก คือ การกำหนดพื้นที่ถอยร่น การปลูกป่า และการปักเสาดักตะกอน พร้อมกับการดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) มีการสนับสนุนการใช้แนวทางธรรมชาติในการจัดการปัญหาภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน อาทิ การแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยการฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งดั้งเดิมที่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สำคัญ เพื่อเสริมสร้างและฟื้นฟูป่าชายเลนตลอดแนวชายฝั่ง

ปัจจุบันผืนป่าชายเลนบริเวณบางขุนเทียนขาดความอุดมสมบูรณ์ มีความหนาแน่นประมาณ 50 เมตร ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำ เพราะป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ต้องมีความหนาแน่นประมาณ 300 เมตร ดังนั้น จึงจำเป็นต้องการดำเนินการในรูปแบบการปักเสาดักตะกอน หรือวิธีการดักตะกอนอื่น ๆ ที่เหมาะสม การปลูกป่าชายเลนโดยภาครัฐและเอกชน การสร้างแรงจูงใจในการปลูกป่าชายเลนในพื้นที่เอกสารสิทธิ อาทิ การลดภาษี การถอยร่นพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ประกอบอาชีพ

เช่น การเลี้ยงกุ้ง จากแนวน้ำทะเล เพื่อพื้นฟูป่าชายเลน การจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณชายฝั่งให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง เวนคืนพื้นที่แนวชายฝั่งในระยะ 300 – 500 เมตรตลอดแนวชายฝั่งเพื่อสร้างแนวป่าชายเลน ทำการรื้อถอนโครงสร้างแข็งที่ไม่มีการใช้ประโยชน์และไม่มีการใช้งานแล้ว เช่น ท่าเรือ อาคาร ร้านค้าที่ปลูกสร้างรุกล้ำชายหาด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง การเสริมตะกอนดินจากการขุดลอกปากแม่น้ำ เป็นต้น


นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เสริมว่า กรมทรัพยากรน้ำในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำในภาวะน้ำท่วมและน้ำแล้ง มีความพร้อมในเครื่องจักรที่ใช้ เช่น เครื่องสูบน้ำ รถบรรทุกน้ำ เครื่องผลิตน้ำดื่มสะอาด ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชน นอกจากนี้ยังมีภารกิจที่สำคัญในการอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ จึงได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างสมดุลระหว่างคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งป่าชายเลนบางขุนเทียนเป็นพื้นที่ที่จะต้องรักษาไว้ เป็นประโยชน์ทางด้านป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และเป็นแหล่งอาชีพตามวิถีชุมชน