“ทีบีเอ็น” มั่นใจ ผลักดันไทย ขึ้น Low-Code ฮับของเอเชียได้

“ทีบีเอ็น”

“ทีบีเอ็น” เผยเทรนด์ Low-Code ตอบโจทย์ การพัฒนาแอปพลิเคชัน หลังแนวโน้ม ตัวเลขโปรแกรมเมอร์ทั่วโลกลดลง เร่งขายธุรกิจเพิ่มศักยภาพบุคลากร รองรับ Digital Transformation องค์กรต่างๆ เตรียมระดมทุนในตลาด รองรับการเติบโต

นายปนายุ ศิริกระจ่างศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TBN เปิดเผยว่า แพลตฟอร์มการออกแบบพัฒนาซอฟต์แวร์  Low-Code Development Platform (Low Code) ของ MENDIX นำมาใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  และช่วยขับเคลื่อนในการทำ Digital Transformation  โดยสามารถ ใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ในทุกระดับ ซึ่งจุดแข็งของ Low-Code ที่เรียนรู้ง่ายมีระบบควบคุมคุณภาพให้ ช่วยให้นักพัฒนาได้รับคุณภาพตามมาตรฐาน วัตถุประสงค์ของการใช้ Low-Code สามารถเพิ่มประสิทธิผลได้มากขึ้น ใช้ทรัพยากรน้อย

“การเติบโตของ Low-Code เทคโนโลยีที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 25 % ต่อปี ขณะที่ปัจจุบันและอนาคตมีการคาดการณ์ว่า โปรแกรมเมอร์ทั่วโลกจะมีจำนวนลดลง เมื่อองค์กรต้อง  Digital Transformation ทำให้จำนวนแอปพลิเคชันจะเพิ่มมากขึ้น เมื่อนักพัฒนาน้อยลงองค์กรจึงมองหาเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วย  Low-Code  จึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยตอบโจทย์ได้ เราจึงอยากทำให้ประเทศไทยเป็น Low-Code ฮับของเอเชีย โดยข้อมูลของ ไฟแนนเชียลไทม์ คาดว่า ภายในปี 2025 หรือปี 68  ร้อยละ 70 ของแอปพลิเคชันทั่วโลกจะพัฒนาด้วย Low-Code”

นายปนายุ ระบุว่า  จากประสบการณ์ที่อยู่กับเทคโนโลยีของ MENDIX มากว่า 18 ปี  ทำให้บริษัทมีบริการที่หลากหลายทั้งคลาวด์เทคโนโลยี และการพัฒนาแบบดั้งเดิม (High Code)  จึงสามารถตอบสนองลูกค้าองค์กรที่มีความต้องการโซลูชันที่เหมาะกับองค์กรที่สุด  โดยเฉพาะบริการออกแบบและพัฒนาระบบดิจิทัลแบบครบวงจร ให้คำปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและพัฒนาโซลูชันตามความต้องการของลูกค้าโดยใช้ซอฟต์แวร์ Low-Code

นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)โดยจะเสนอขายหุ้นจำนวน 25ล้านหุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้ บริษัทมีศักยภาพและความพร้อมสูงในการเติบโตของธุรกิจ เพื่อรองรับ Digital Transformation ของภาคธุรกิจ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ รวมถึงการเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขัน เช่น การพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อรองรับ Digital Transformation การเพิ่มจำนวนบุคลากร การพัฒนาระบบและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ


โดยคาดว่าภายใน ปี 68 บริษัทจะมีจำนวนนักพัฒนาถึง 150 คน  และมีบุคคลกร ที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ถึง  500-1,000 คน มีความพร้อมที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เป็นกุญแจที่จะช่วยทำให้ประเทศไทยเป็น  Low-Code Hub ได้ในอนาคต