จุดเปลี่ยน ‘Chip War’ สงครามเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก

จุดเปลี่ยน ‘Chip War’ สงครามเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก

จุดเปลี่ยน ‘Chip War’ สงครามเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก เมื่อจีนรุดหน้าผลิตชิปเอง ไม่หวั่นแม้โดนแบน

จุดเปลี่ยน ‘Chip War’ สงครามเซมิคอนดักเตอร์ของ 2 มหาอำนาจโลก

จากกระแสเปิดตัว iPhone 15 ในจีน ที่ถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะช่วงการเปิดขาย 17 วันแรก ที่พบว่ายอดขายลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับยอดขาย iPhone 14 เมื่อครั้งเปิดตัว สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการซื้อที่อ่อนแรงลงของชาวจีน ขณะที่คู่แข่งแบรนด์สำคัญอย่าง Huawei กลับทำยอดขายทะยานสูงขึ้นจากการเปิดตัวแบบสุดเซอร์ไพรส์ของสมาร์ทโฟนรุ่น Mate 60 Pro ที่มีวางขายเฉพาะในประเทศบ้านเกิดของตัวเองเท่านั้น

ข้อมูลข้างต้น เป็นปัจจัยสนับสนุนที่เริ่มฉายภาพชัดว่า ‘สงครามชิป’ (Chip War) หรือ สงครามเซมิคอนดักเตอร์ระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐฯ กับจีน กำลังเข้าสู่จุดเดือด!

สหรัฐฯ รุกหนัก แช่แข็งเทคโนโลยีชิปสมาร์ทโฟนของจีน

ADVERTISMENT

อย่างที่หลายท่านทราบกันดีว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีการประกาศใช้กฎหมาย และมาตรการแบนสินค้าเทคโนโลยีของจีนออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่ง Huawei ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะไม่สามารถใช้เทคโนโลยีของอเมริกาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้

ไม่ว่าจะเป็น ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ บริการต่าง ๆ จาก Google ที่หนักไปกว่านั้น คือมีการห้ามบริษัทสหรัฐฯ ผลิตชิปที่เล็กกว่า 14 นาโนเมตร (NM) ให้แก่จีน ซึ่งชิป ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิต-พัฒนาสมาร์ทโฟน และเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เปรียบเหมือนสมองกล ยิ่งชิปมีตัวเลขนาโนเมตรน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมีขีดความสามารถสูงขึ้นเท่านั้น ปัจจุบัน ขนาดเล็กสุดของชิปอยู่ที่ 3 NM ซึ่งแน่นอนว่ามันอยู่ใน iPhone 15

ADVERTISMENT

ภาพประกอบจากเว็บไซต์ tsmc.com

หากเรียงตามไทม์ไลน์ จะพบว่า ชิปขนาด 14 NM ถูกเปิดตัวใช้งานมาตั้งแต่ปี 2015 ขณะที่ ชิปขนาด 3 NM ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2022 หากจีนไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีชิปของตัวเองได้ ก็จะทำให้สินค้าเทคโนโลยีของจีนตามหลังสหรัฐฯ ถึง 7 ปี

ชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 14 NM จะจัดเป็นชิปประสิทธิภาพสูง จำเป็นต้องใช้เครื่อง EUV ในการผลิต ซึ่งเจ้าเครื่องนี้ ก็เป็นเทคโนโลยีสุดล้ำที่มีมูลค่าสูงถึงเกือบ 4 พันล้านบาทต่อเครื่อง และมีเพียง ASML บริษัทเดียวเท่านั้นที่ผลิตได้ อุปสรรคคือ นั่นเป็นบริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์ พันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ และอยู่ภายใต้นโยบายห้ามขายสินค้าให้แก่จีนด้วยเช่นกัน

นอกจากจะห้ามบริษัทในประเทศตัวเองแล้ว สหรัฐฯ ยังเชื้อเชิญพันธมิตรทั่วโลกให้เลิกผลิตชิปให้ Huawei ด้วย อาทิ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฯลฯ

ขณะเดียวกัน จีน ก็มีข้อได้เปรียบตรงที่มีทรัพยากรหายากที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตชิปมากที่สุดในโลก ได้แก่แร่ซิลิคอน แกลเลียม และเจอร์เมเนียม ซึ่งรัฐบาลจีนก็เลือกเดินเกมโดยการประกาศห้ามส่งออกแร่แกลเลียม และเจอร์เมเนียมให้อเมริกา และตั้งเป้าลดการพึ่งพิงการใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศจากระดับ 80% ให้เหลือ 30% ภายในปี 2025

การเปิดตัวสุดเซอร์ไพรส์ ‘Huawei Mate 60 Pro’ กับชิปที่จีนพัฒนาเอง

สมาร์ทโฟนรุ่น Mate 60 Pro จาก Huawei มาพร้อม ‘Kirin 9000S’ ชิปประสิทธิภาพสูง ขนาด 7 NM ผลิตโดยบริษัท SMIC ของจีน กลายเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของจีนที่กลับมาเชื่อมต่อโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 5G ได้ในรอบ 4 ปี หลังจากที่ต้องฝืนทนกับมาตรการแบนการส่งออกชิปของสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน และยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่สามารถโทรสื่อสารผ่านเครือข่ายดาวเทียมของจีนได้ทันที ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่ออยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีสัญญาณ ขณะที่ iPhone กลับทำได้แค่ส่งข้อความ SMS ผ่านสัญญาณดาวเทียมเท่านั้น

ชิป Kirin 9000S ใช้ควบคู่กับระบบปฏบัติการ HarmonyOS 4.0 ซึ่งเป็นระบบที่จีนพัฒนาขึ้นมาเอง เพื่อใช้ทดแทนระบบแอนดรอยด์ มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในจีน และเป็นระบบที่ถูกติดตั้งบน Smart devices ต่าง ๆ ไปแล้วกว่า 60 ล้านเครื่อง

อย่างไรก็ตาม แม้ทั่วโลกจะจับตา Mate 60 Pro และตั้งคำถามว่า จีนสามารถผลิตชิปขนาด 7 NM ได้อย่างไร แต่ Huawei และ SMIC ก็ยังไม่ได้ออกมาคลายข้อสงสัยนี้

ด้าน iPhone 15 จากค่าย Apple ก็ถูกนำมาเปรียบเทียบกับ Mate 60 Pro โดยชิปที่ Apple ใช้กับ iPhone 15 และ iPhone 15 Pro คือ A16 Bionic ขนาด 4 NM และ A17 Pro ขนาด 3 NM ตามลำดับ ถูกขนานนามว่าเป็น Pro Chips ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตชิปที่ดีที่สุดของโลก โดยมาพร้อมกับ 5-core GPU ในชิป A16 Bionic และ 6-core GPU ในชิป A17 Pro มีศักยภาพในการประมวลผลได้เร็วกว่า GPU ที่ใช้ใน iPhone 12 ถึง 40% ประมวลผลกราฟฟิกสูง ๆ ได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด

แม้เทคโนโลยีชิปของ Apple จะยังคงนำหน้า Huawei แต่การเปิดตัว Mate 60 Pro ในครั้งนี้ ก็เป็นเหมือนการประกาศอิสรภาพของจีน ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จีนอาจไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีชิปจากสหรัฐฯอีกต่อไป

เทียบสเปคหลัก Mate 60 Pro VS iPhone 15 Pro

สำหรับใครที่ต้องการเทียบสเปค Mate 60 Pro กับ iPhone 15 สามารถเข้าไปชมได้ในลิ้งก์ด้านล่างนี้

https://www.youtube.com/watch?v=eor5OMl2JMM

ข้อมูลสถิติจาก Counterpoint Research ผู้รวบรวมข้อมูลด้านเทคโนโลยีระดับโลก ระบุว่า จีนยังคงเป็นประเทศที่ครองส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนมากที่สุดในโลก ทว่าการจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลกในไตรมาส 2 ของปี 2023  Apple ยังคงนำอยู่ในอันดับ 2 ของโลกรองจาก Samsung เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับคาดการณ์ว่า Huawei จะสามารถสร้างยอดขายจาก Mate 60 Pro ได้มากถึง 5-6 ล้านเครื่องในปีนี้ และอาจเพิ่มขึ้นแตะหลัก 10 ล้านเครื่องในปี 2024 แม้ตอนนี้จะยังเปิดตัวในจีนเพียงประเทศเดียวก็ตาม

Jefferies บริษัทชั้นนำของโลกด้านตลาดทุน และวาณิชธนกิจ ได้ออกมาคาดการณ์ว่า ดูจากเทรนด์การเลือกใช้สมาร์ทโฟนของตลาดจีนในปัจจุบัน มีแนวโน้มที่ iPhone อาจแพ้ให้กับ Huawei อย่างเห็นได้ชัดในปี 2024 ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนประชากรมหาศาลของจีน อาจทำให้ยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลกของ Apple ลดลงต่ำกว่าคาดการณ์ก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม ยอดขาย iPhone 15 ในสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับ iPhone 14 ในช่วงเปิดตัวแรก ๆ

สหรัฐฯ จะโต้กลับจีนอย่างไร?

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า สหรัฐฯ มีแผนที่จะออกมาตรการ หรือกฎหมายใหม่ เพื่อเพิ่มความคุมเข้มในการห้ามบริษัทในสหรัฐฯ จำหน่ายสินค้าให้แก่จีน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ซึ่งบริษัทสัญชาติอเมริกันหลายแบรนด์ ก็เป็นผู้นำโลกในเรื่องนี้ อย่าง Nvidia ที่สามารถผลิตชิปตอบสนองการพัฒนา และการใช้งาน AI ได้ทุกรูปแบบ อาจนำไปสู่วิกฤตครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของจีน ที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี AI อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเกม ฯลฯ ที่ยังคงพึ่งพาชิปนำเข้าเป็นหลัก

ในอนาคตจะไม่ใช่แค่กระทบการพัฒนา และการปรับใช้เทคโนโลยี AI บนสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการใช้ AI บน Smart devices ต่าง ๆ ที่ปัจจุบัน มีแนวโน้มความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก

แม้ก่อนหน้านี้ บริษัทในสหรัฐฯ อาจผลิตชิปบางประเภทให้จีนได้ แต่ด้วยกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้น จะทำให้เกิดการห้ามจำหน่าย และผลิตสินค้าให้จีนอย่างเด็ดขาดอย่างถาวร ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่สหรัฐฯต้องการบรรลุ เพื่อได้มาซึ่งชัยชนะในสงครามชิงความเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีอันดับ 1 ของโลก เพราะในปัจจุบัน บรรดาผู้ผลิตชิปของสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นผู้นำโลกในด้านการออกแบบ และผลิดชิป AI ที่เป็นต้นแบบมาตรฐาน และได้รับการยอมรับจากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว กฎหมายดังกล่าวอาจส่งผลกระทบกับรายได้ของผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ และความสัมพันธ์กับฐานลูกค้าชาวจีน ยิ่งไปกว่านั้น อาจทำให้จีนต้องดิ้นรนพัฒนาชิป AI ขึ้นมาเป็นของตัวเอง เหมือนกับชิป Kirin 9000S ใน Huawei Mate 60 Pro

สงครามแห่งโลกเทคโนโลยีครั้งนี้ จะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องจับตาดูกันไปยาว ๆ

อ้างอิง :

https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-10-16/iphone-15-china-sales-disappoint-as-huawei-rises-jefferies-says

https://www.counterpointresearch.com/insights/global-smartphone-share/

https://thestandard.co/why-is-gallium-germanium-important/

https://timesofindia.indiatimes.com/gadgets-news/us-china-tech-war-new-rules-coming-to-stop-american-companies-from-exporting-ai-chips/articleshow/104461251.cms