ปลัด มท. นำถกแนวทางขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนปี 67

ปลัด มท. นำถกแนวทางขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนปี 67

ปลัด มท. นำถกแนวทางขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนปี 67 หลังลุยแก้แล้ว 11.35 ล้านปัญหา พร้อมเดินหน้า Re X-ray ติดตามผลการแก้ไขและสำรวจเพิ่มเติมรวมกว่า 20 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยหลังการหารือแนวทางการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ว่านับตั้งแต่ปี 2565 รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยขับเคลื่อนการดำเนินงานศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่ ซึ่งมีเป้าหมาย คือ การแก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้ารายครัวเรือน โดยมีข้อมูลจากระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform) หรือ TPMAP ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นฐานข้อมูลในการขับเคลื่อนรวม 619,111 ครัวเรือน

โดยจำแนกเป็น 5 ด้าน คือ 1. ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 2. การศึกษา และทักษะที่จำเป็น 3. สถานะทางสุขภาพ 4. คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ และ 5. การเข้าถึงบริการ ความช่วยเหลือ และการมีส่วนร่วมในสังคม ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวกระทรวงมหาดไทยโดยกรมการปกครองจึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม ThaiQM ขึ้นเพื่อ Re X-ray สำรวจสภาพปัญหาเพิ่มเติม โดยนิยามความหมายของคำว่า “ยากจน” คือ ทุกปัญหาความเดือดร้อนที่พี่น้องประชาชนกำลังประสบอยู่ และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง อาทิ มีบ้านแต่ไม่มีเลขที่บ้าน บ้านชำรุดทรุดโทรม ไม่มีส้วมที่ถูกสุขลักษณะ มีคนในบ้านติดยาเสพติด เงินกู้นอกระบบ การไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกิน ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งในการสำรวจมีนายอำเภอเป็นผู้นำภาคีเครือข่ายในพื้นที่เข้าทำการ Re X-ray เป็นรายครัวเรือน ตามเป้าหมาย จำนวน 14,562,655  ครัวเรือน พบสภาพปัญหา 3,810,466 ครัวเรือน 12,143,656 สภาพปัญหา ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ตลอดจนส่วนราชการและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ได้ร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหาแล้วทั้งสิ้น 11,357,962 ปัญหา คิดเป็นร้อยละ 93.53

“แม้ว่าในปี 2565 – 2566 ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอทั่วประเทศในฐานะผู้นำของจังหวัดและผู้นำของอำเภอ ได้ร่วมกันบูรณาการส่วนราชการที่มีอำนาจหน้าที่ที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาของพี่น้องประชาชนและสรรพกำลังของภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เช่น ผู้นำศาสนา พระสงฆ์องค์เจ้า บาทหลวง โต๊ะอิหม่าม เหล่ากาชาดจังหวัด ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม พุ่งเป้าแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนไปแล้วกว่า 11.35 ล้านปัญหา แล้วก็ตาม แต่สิ่งที่เราจะปฏิเสธไม่ได้ คือ สภาพปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนนั้นไม่ได้เลือกเวลา ทุกวันนี้เรายังคงพบเห็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่สะท้อนผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งศูนย์ดำรงธรรม สื่อมวลชน และสื่อสังคมออนไลน์ อันแสดงให้เห็นว่า “ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนยังคงมีสภาพปัญหาเพิ่มขึ้นในทุกวัน”

ดังนั้น ภาระหน้าที่ของข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในทุกกระทรวง ทุกกรม ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ และทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเดือดร้อนทุกเรื่องของพี่น้องประชาชนยังคงต้องดำเนินต่อไป เพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนให้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยน้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชดำริทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ “ร่วมคิด ร่วมพูดคุย ร่วมแก้ไขปัญหา และร่วมรับประโยชน์” ด้วยการดึงศักยภาพและระดมความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนตลอดจนภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ผนึกกำลังเป็น “ทีมสำรวจและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน” อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อทำให้ทุกปัญหาความเดือดร้อนได้รับการบรรเทา ได้รับการคลี่คลาย และท้ายที่สุดได้รับการแก้ไขจนสำเร็จให้ได้” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ

จากนั้น ที่ประชุมได้นำเสนอและหารือถึงแนวทางการบริหารจัดการข้อมูล Big Data เพื่อให้สามารถรวบรวมสภาพปัญหา และมีระบบการติดตามการแก้ไขปัญหาในลักษณะ Real time โดย ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความเห็นในการบูรณาการข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนเข้ากับผังภูมิสังคมเพื่อการบริหารจัดการน้ำหมู่บ้าน/ชุมชน แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน (Geo-social Map) เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุมและตอบโจทย์เชื่อมโยงได้ทุกมิติ ในขณะที่ ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร ได้นำเสนอตัวอย่างแพลตฟอร์มการรายงานข้อมูลสภาพปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผ่านการทำประชาคมแผนในระดับชุมชนของเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร 17 ชุมชน เพื่อบรรจุในเทศบัญญัติ โดยพบว่าในปี 2565 มีจำนวน 205 เรื่อง และระบบสามารถแสดงผลความก้าวหน้าของการแก้ไขปัญหาที่ประชาชนในแต่ละชุมชนสามารถเข้าไปอัพเดทได้ทันที

ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ผ่านมา เรามี Big Data ขนาดใหญ่ คือ ThaiQM ที่ได้ทำการสำรวจไว้แล้วเป็นฐานการขับเคลื่อนงาน ซึ่งหลายปัญหาก็ได้แก้ไขแล้วเสร็จ หลายปัญหาก็ได้แก้ไขสำเร็จ และเรายังพบ “สภาพปัญหาเพิ่มเติม” สิ่งสำคัญที่ต้องขับเคลื่อนต่อไป คือ ต้อง Re X-ray ทั้งการติดตามผลการแก้ไขปัญหาของครัวเรือนเป้าหมายเดิมที่ได้แก้ไขไปแล้ว รวมทั้งสำรวจสภาพปัญหาอีก 6 ล้านครัวเรือนเพิ่มเติม เพราะเจตนารมณ์ของคนมหาดไทยและข้าราชการทุกคน คือ “เราไม่ต้องการทิ้งใครไว้ข้างหลัง (No one left behind)” ซึ่งทุกวันนี้เรายังพบว่าคนในชุมชนเมืองมีสภาพปัญหามากกว่าคนในชนบท

ดังนั้น การดำเนินการสำรวจข้อมูลความยากจนและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 นี้ ใน “ระยะต้น” ขอให้กรมการปกครองได้บูรณาการร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ข้อมูลความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด ต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อให้มีข้อมูล โดยประสานเทศบาลทั่วประเทศ เพื่อให้นายกเทศมนตรีนคร นายกเทศมนตรีเมือง เป็นผู้นำในการสำรวจข้อมูลความยากจนและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในเขตเทศบาลทุกเรื่องควบคู่ไปกับการทำประชาคมแผนในระดับชุมชนของเทศบาล สำหรับใน “ระยะกลาง” ให้ศูนย์สารสนเทศเพื่อการบริหารงานปกครองได้ศึกษาและพัฒนาระบบ ThaiQM โดยนำฟังก์ชันการใช้งานแฟลตฟอร์มของเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหารมาต่อยอด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการข้อมูลแก้ไขปัญหาความยากจน และแจ้งให้ทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ใช้เป็นแฟลตฟอร์มกลางสำหรับการบริหารจัดการข้อมูลแก้ไขปัญหาความยากจน เพื่อนำไปสู่ “ขั้นปลาย” คือ การพุ่งเป้าแก้ไขปัญหาความยากจนและความเดือดร้อนทุกเรื่องให้กับพี่น้องประชาชนแบบบูรณาการ ทั้งนี้ การประชาคมแผนและ Re X-ray 20 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ ต้องแล้วเสร็จภายในวันที่ 15 มกราคม 2567

“ช่วงเวลานี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งแม้ว่าไม่ใช่งานฟังก์ชันของกระทรวงมหาดไทย ทำให้ไม่สามารถขอรับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลโดยตรงได้ แต่คนมหาดไทยสามารถทำได้ในฐานะ “ผู้นำพื้นที่” เพราะเรามีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเป็น CEO ของพื้นที่ที่เป็นผู้บูรณาการการทำงานของทุกกระทรวง ทุกกรม ทุกรัฐวิสาหกิจ และ 7 ภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัด อำเภอ  และมีใจรุกรบ มี Passion ที่จะ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งแพลตฟอร์มการสำรวจข้อมูลที่จะได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อทำการสำรวจข้อมูลเพิ่มเติมนี้เป็นหลักประกันของความยั่งยืน เราต้องทำให้การสำรวจและติดตามการแก้ไขปัญหาความยากจนในแพลตฟอร์ม ThaiQM เป็น Real time ให้ได้ ทำให้กลุ่มเป้าหมาย 20 ล้านครัวเรือนมาอยู่ในฐานข้อมูล ThaiQM ได้ โดยมีประชาชนเป็นผู้นำเข้า (input) ข้อมูลในระบบได้เอง และส่วนที่สำคัญต่อมา คือ กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน และสำนักนโยบายและแผน สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ต้องทบทวน (review) แนวทางการพัฒนาข้อมูลการแก้ไขปัญหาความยากจนในปีที่ผ่านมา เพื่อทำให้การพูดคุยและซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเป็นไปตามเป้าหมาย ต้องสื่อสารถูกต้อง ชัดเจน เข้าใจได้ เพื่อได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชน

นอกจากนี้ในส่วนของจุดอ่อนประการหนึ่งในแง่สถิติการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมา คือ สภาพปัญหาความเดือดร้อนที่ไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยโดยตรงหรือเกินความสามารถของพื้นที่ เช่น เรื่องปัญหาเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน หรือแม้แต่เรื่องเด็กไม่ได้เข้าเรียน หรือประชาชนไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ ไม่สามารถคิดเลขง่าย ๆ ได้ เป็นต้น เราต้องประมวลรวบรวมและรายงานสภาพปัญหาเหล่านั้นไปยังรัฐบาล พร้อมทั้งมีระบบการติดตามสภาพปัญหาในรูปแบบชี้เป้าหมายเชิงภูมิศาสตร์ (GIS) ที่ทางรัฐบาลสามารถมอบหมายให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่นำไปใช้ต่อได้ และสามารถปรับปรุงข้อมูลเพื่อรายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาได้ เราก็จะปิดเคสได้เพราะ “งานจะสำเร็จ” ด้วยการบูรณาการ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะได้เร่งปรับปรุงแนวทางและพัฒนารูปแบบแพลตฟอร์มเพื่อให้การแก้ปัญหาความยากจนและความเดือดร้อนในทุกมิติเกิดความยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย