
เมื่อโลกก้าวไปข้างหน้า สังคมทั่วโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเข้าสู่ยุคของ “สังคมผู้สูงอายุ” การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุส่งผลให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทั้งในเรื่องอัตราการเกิดที่ลดลง และปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ที่เกิดจากการลดลงของประชากรวัยทำงาน ความท้าทายเหล่านี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาและแนวทางในการดูแลสวัสดิการและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุอีกด้วย
สถานการณ์สังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ขณะนี้ ประเทศไทยมีผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 13 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 65 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ในปี พ.ศ. 2576 ระบุว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในระดับสุดยอด โดยมีอัตราผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 28 ของประชากร ขณะที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 500,000 คน ทำให้จำนวนวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในอนาคตไทยจะพบผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านคน ขณะที่เด็กเกิดใหม่มีเพียงครึ่งเดียว ทำให้การดูแลผู้สูงอายุในอนาคตจะเป็นงานที่หนักขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบสัดส่วนคนวัยแรงงานที่ต้องดูแลผู้สูงอายุ ปัจจุบันพบว่า คนวัยแรงงาน 3 คน ต้องดูแลผู้สูงอายุ 1 คน แต่ในอนาคต หากเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด จะมีคนวัยทำงานเพียง 2 คน ต่อการดูแลผู้สูงอายุ 1 คน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่น้อยมากและสร้างความท้าทายใหญ่หลวงในการจัดการดูแลสวัสดิการและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ
เพื่อให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ หน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุอย่าง กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ให้ความรู้แก่ประชาชนในหัวข้อ ‘สิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้สูงวัยต้องรู้’ โดยมี นางสาวกอบกุล กวั่งซ้วน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านผู้สูงอายุ เป็นวิทยากรในการให้ความรู้ในครั้งนี้
นางสาวกอบกุล กวั่งซ้วน กล่าวว่า ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้สูงอายุในไทยกว่าร้อยละ 97 เป็นกลุ่ม Active aging คือผู้ที่ยังสามารถออกมาทำกิจกรรมต่างๆ และขับเคลื่อนสังคมได้ ส่วนอีกร้อยละ 2 เป็นกลุ่มผู้สูงอายุติดบ้าน และร้อยละ 1 เป็นกลุ่มติดเตียง อย่างไรก็ตาม การที่ผู้สูงอายุจะมีชีวิตที่ยืนยาวต้องประกอบด้วย การมีสุขภาพดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ปลอดภัย มีเงินออมเพื่อการเกษียณ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องเตรียมตัวตั้งแต่เด็ก จึงเป็นประเด็นที่รัฐบาลกำลังให้ความสำคัญโดยการให้เด็กรู้จักการออม เพื่อสำรองเงินไว้ใช้จนถึงอายุ 70 – 80 ปี และสุดท้าย ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต
ทั้งนี้ สิทธิและสวัสดิการผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 ตามมาตรา 11 ได้กำหนดให้ผู้สูงอายุมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง การส่งเสริม และการสนับสนุนในด้านต่างๆ รวม 13 เรื่อง โดยมีเงื่อนไขภายใต้ระเบียบต่างๆ ดังนี้
- การบริการทางการแพทย์ จัดให้มีช่องทางเฉพาะ อำนวยความสะดวกให้รวดเร็วให้ผู้สูงอายุ
- การศึกษา ศาสนา และข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง จึงมีการจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ
- การประกอบอาชีพและฝึกอาชีพที่เหมาะสม กรมกิจการผู้สูงอายุ ร่วมมือกับหลายหน่วยงานในการสร้างอาชีพให้ผู้สูงอายุ เพื่อให้คนวัยเกษียณได้ใช้ประสบการณ์ทำงานต่อ ซึ่งทางบริษัทจะต้องออกแบบการทำงานให้เหมาะสมกับสุขภาพและความสามารถของผู้สูงอายุ
- การพัฒนาตนเองและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม จัดกิจกรรมรวมกลุ่มในลักษณะเครือข่ายหรือชุมชน เช่น ชมรมผู้สูงอายุ
- การอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในอาคารสถานที่ ยานพาหนะ หรือบริการสาธารณะอื่นๆ ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจนสามารถขอรับการบริการปรับสภาพสิ่งแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกได้ เช่น ปรับปรุงบ้าน โดยรัฐบาลมีงบประมาณให้ในการปรับปรุงหลังละไม่เกิน 40,000 บาท เพื่อซื้ออุปกรณ์ในการซ่อมแซมและปรับปรุงบ้านเช่นเดียวกับผู้พิการ โดยสามารถติดต่อขอรับการสนับสนุนดังกล่าว ภายใต้เงื่อนไข คือ ผู้สูงอายุจะต้องมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่ หรือหากเป็นการอาศัยในบ้านญาติ สามารถให้เจ้าของกรรมสิทธิ์อนุญาตดำเนินการได้
- การช่วยเหลือด้านค่าโดยสารยานพาหนะตามความเหมาะสม
- การยกเว้นค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวของรัฐ รวมถึงเอกชนบางแห่ง
- การจ่ายเบี้ยยังชีพเป็นรายเดือนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ปัจจุบันผู้สูงอายุได้รับเบี้ยยังชีพเป็นรายเดือนแบบขั้นบันได ดังนี้ อายุ60 – 69 ปี รับ 600 บาท/เดือน, อายุ 70 – 79 ปี รับ 700 บาท/เดือน, อายุ 80 – 89 ปี รับ 800 บาท/เดือน และ อายุ 90 ปีขึ้นไป รับ 1,000 บาท/เดือน ส่วนนโยบายจ่าย 1,000 บาทถ้วนหน้า ยังอยู่ในส่วนการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
- การสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี จำนวน 3,000 บาท โดยต้องเป็นผู้สูงอายุที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเท่านั้น
- การจัดที่พักอาศัย อาหาร และเครื่องนุ่งห่ม ให้ตามความเป็นจําเป็นอย่างทั่วถึง
- การให้คำแนะนํา ปรึกษาดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องในทางคดี หรือในทางการแก้ไขปัญหาครอบครัว
- การช่วยเหลือผู้สูงอายุ ซึ่งได้รับอันตรายจากการถูกทารุณกรรม หรือถูกแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือถูกทอดทิ้ง
- เรื่องอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการประกาศ
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ กองทุนผู้สูงอายุ ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป กู้ยืมเงินโดยไม่มีดอกเบี้ย โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. ให้บริการกู้ยืมเงินเพื่อประกอบอาชีพ สำหรับรายบุคคล วงเงินไม่เกิน 30,000 บาท รายกลุ่มที่ไม่น้อยกว่า 5 คน วงเงินไม่เกิน 100,000 บาท และ 2. สนับสนุนเงินอุดหนุนโครงการให้ชมรม องค์กร และเครือข่ายด้านผู้สูงอายุ โครงการขนาดเล็ก วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท ขนาดกลางไม่เกิน 300,000 บาท และขนาดใหญ่วงเงินเกิน 300,000 บาทขึ้นไป ผู้ที่สนใจสามารถขอใช้บริการได้ กรุงเทพมหานคร ติดต่อที่กองทุนผู้สูงอายุ บริเวณสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี และในต่างจังหวัด ติดต่อได้ที่ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทุกจังหวัด
เห็นได้ว่าการเตรียมความพร้อมด้านการดูแลสวัสดิการ และการสร้างโอกาสในการมีชีวิตที่มีคุณค่า เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง การสร้างสังคมที่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเป้าหมายที่ต้องมุ่งไปพร้อมกับการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สังคมสามารถเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงและเผชิญกับความท้าทายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน