ส.การค้ายาสูบไทย ขอ ‘ภาครัฐ’ พิฆาตบุหรี่ผิดกม.

ส.การค้ายาสูบไทย ขอ ‘ภาครัฐ’ พิฆาตบุหรี่ผิดกม.

สมาคมการค้ายาสูบไทย ขอภาครัฐ พิฆาตบุหรี่ผิด กม. ชี้ทำอุตสาหกรรมวอดกว่า 3 หมื่นล้านบาท

นางสาวธัญญศรัณ แสงทอง ผู้อำนวยการบริหารสมาคมการค้ายาสูบไทย เปิดเผยปัญหา “บุหรี่ผิดกฎหมาย” ที่ครอบคลุมทั้งบุหรี่ปลอม และบุหรี่เถื่อน สร้างผลกระทบกับอุตสาหกรรมยาสูบทั้งระบบ สร้างปัญหากว่า 3 หมื่นล้านบาท 

ส่วนที่ถูกสังเวยไปแล้วมีทั้งภาษีสรรพสามิต 2.4 หมื่นล้านบาท ภาษีมหาดไทย 1,800 ล้านบาท ภาษีอื่น 4,000 ล้านบาท รวมทั้งรายได้ชาวไร่ยาสูบ 300 ล้านบาท และรายได้ของผู้ประกอบการและร้านค้า 7,000 ล้านบาท 

ที่สำคัญ สัญญาณวิกฤติยังจะเห็นได้จากการขาย “บุหรี่ผิดกฎหมาย” เย้ยกฎหมายบนช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์เดิม) และสั่งซื้อผ่านข้อความส่วนตัว (Direct Message) LINE และ TikTok ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงอายุผู้เสพบุหรี่ที่ลดลงไปถึงเยาวชน และผู้หญิงเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ สัญญาณวิกฤติอีกประการ คือ ตลาดนี้เติบโตอย่างพุ่งทะยาน จับเท่าไรก็ไม่หมด ขณะที่ภาครัฐก็ดำเนินการได้ไม่ทันการณ์ ทำให้ผลกระทบในภาพรวมเกิดขึ้นในวงกว้าง 

นางสาวธัญญศรัณ ระบุว่า ที่ผ่านมาได้ปฏิบัติการเชิงรุกทั้งในส่วนของการลงพื้นที่ภาคใต้อย่างภูเก็ต สตูล พัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช เพราะมีชายแดนทั้งทางบก ทางทะเลติดกับประเทศเพื่อนบ้านมากถึง 60% และมีการบริโภคบุหรี่ผิดกฎหมายมากถึง 60% ขณะเดียวกัน ก็ดำเนินการเพื่อขอความร่วมมือกับภาคการบริหารท้องถิ่นนับแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด สรรพสามิต ศุลกากร หอการค้า ตลอดจนร้านค้าบุหรี่ของสมาคมที่มีกว่า 5 แสนรายก็ช่วยแจ้งเบาะแส 

นอกจากนี้ ยังมีแพลตฟอร์มแจ้งเบาะแสบนเว็บไซต์ของสมาคมฯ ที่เปิดให้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสโดยไม่ระบุตัวตนได้ โดยสมาคมฯ จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการนำส่งข้อมูลแก่หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายต่อไป หรือแจ้งเบาะแสบนเว็บไซต์กรมสรรพสามิต และการยาสูบแห่งประเทศไทย ด้วยวิธีการระบุตัวตนเพื่อรับรางวัลนำจับด้วย

ADVERTISMENT

ขณะเดียวกัน สมาคมฯ ยังรุกขอความร่วมมือกับกระทรวง และหน่วยงานระดับประเทศให้ลงมาปราบปรามปัญหานี้อย่างจริงจัง นับแต่กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัล กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม รวมทั้งได้ยื่นเอกสารขอความร่วมมือถึงนายกรัฐมนตรีผ่านสำนักนายกรัฐมนตรี และได้รับหนังสือตอบรับมาแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีคนใหม่ก็หวังว่า ปัญหานี้จะยังคงได้รับความสนใจจากท่านด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปฏิบัติการเชิงรุกแบบลงลึกและครอบคลุมอย่างต่อเนื่องตลอดมา ทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจ คือ กลับไม่มีความคืบหน้าจากภาครัฐเท่าที่ควร ทั้งที่การค้าบุหรี่ผิดกฎหมายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการทุจริตที่ทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของทุกคนไปอย่างมหาศาล เพราะเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้ง่ายๆ ว่า ในจำนวนผู้สูบบุหรี่ทุก 4 คนจะมีคนสูบบุหรี่ผิดกฎหมาย 1 คน และตลาดนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดมากๆ ด้วยมีส่วนแบ่งตลาด 25% ภายใน 3 ปี เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีเพียง 11.4% เท่านั้น

ADVERTISMENT

เตือน “ระเบิดเวลา” ทำให้ปัญหารุนแรง

ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมการค้ายาสูบไทย กล่าวว่า ความรุนแรงของปัญหาที่ถาโถมเข้ามามีทั้งมิติของสังคม สุขอนามัย และเศรษฐกิจ แบ่งเป็น 

1) การขยายตัวเข้าตลาดอื่นๆ นอกจากภาคใต้ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี 

2) การขยายช่องทางการขายผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม เอ็กซ์ (X หรือทวิตเตอร์เดิม), เฟซบุ๊ก, ติ๊กต็อก ที่มีการโฆษณาขายกันอย่างเปิดเผย และส่งสินค้าในรูปของพัสดุผ่านการขนส่งของเอกชน (ธุรกิจคูเรียร์) 

3) กลุ่มผู้เสพบุหรี่ที่มีอายุลดน้อยลงเรื่อยๆ ลงไปถึง Gen Z จากการซื้อหาได้ง่าย สะดวกและขนส่งผ่านพัสดุ ด้วยบริการจ่ายเงินปลายทาง

สำหรับประเด็นการซื้อขายผ่านพัสดุนั้น ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา สมาคมฯ พบว่ามีการจับกุมบุหรี่ผิดกฎหมายภายในประเทศผ่านศูนย์ไปรษณีย์ขนส่งชลบุรี ตราด สระแก้ว กระบี่ สงขลา ยอดรวมกว่า 3 แสนซอง หรือกว่า 6 ล้านมวน ซึ่งมีผลกระทบต่อร้านค้าโชห่วยกว่า 5 แสนรายทั่วประเทศ ดังนั้นจึงอยากวอนขอให้ภาครัฐเร่งปราบปรามช่องทางออนไลน์ เนื่องจากการขายผ่านออนไลน์นั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่า ผู้ขายไม่ต้องเปิดเผยตัวตนและสามารถใช้บัญชีม้าปกปิดเส้นทางการเงินได้ 

แนะแก้อย่างเป็นรูปธรรม

สมาคมฯ มีความเห็นว่า ปัญหานี้ควรแก้ไขด้วย 4 แนวทาง “ปราบปราม – ขยายผล – ประชาสัมพันธ์ – เทคโนโลยีสมัยใหม่” ประกอบด้วย

  1. ปราบปราม ร้านค้าบุหรี่ผิดกฎหมายที่มีหน้าร้าน เพื่อให้ผู้กระทำผิดตระหนักถึงโทษและป้องกันมิให้กระทำผิดอีกอย่างต่อเนื่อง และลดจำนวนผู้ค้าหน้าใหม่ที่มองเฉพาะผลกำไรจากการทำธุรกิจผิดกฎหมาย พร้อมทั้งปราบปราม/ปิดกั้นช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการประสานความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลและเจ้าของแพลตฟอร์มต่างๆ
  2. ขยายผล ด้วยการสืบสวนขยายผลหาผู้กระทำผิดรายใหญ่ แหล่งต้นทางของสินค้าในประเทศเพื่อนบ้านที่มีข่าวว่าเป็นเส้นทางลำเลียง อาทิ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา ผ่านชายแดนทั้งทางบกและทางทะเล ฯลฯ
  3. ประชาสัมพันธ์ ผลการจับกุม การดำเนินคดี และการทำลายสินค้าของกลาง เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับร้านค้าและประชาชน
  4. เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเข้ามาช่วยตรวจสอบ ป้องกัน/ปราบปราม อาทิ การจัดสรรงบสนับสนุนเครื่องเอกซเรย์ขนาดพกพา เพื่อช่วยให้การทำงานของเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ สมาคมการค้ายาสูบไทย ระบุด้วยว่าปัญหาดังกล่าวเป็นเพียงเศษเสี้ยวของ “ภูเขาน้ำแข็ง” ที่มองเห็นเท่านั้น เพราะจากสถิติการจับกุมช่วง ต.ค.66 –  ม.ค.67 ที่มีการจับกุมบุหรี่เถื่อนกว่า 8.5 ล้านมวน มูลค่า 47.6 ล้านบาท บุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาและอุปกรณ์ 6.9 หมื่นชิ้น มูลค่า 15.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.1% ของสินค้าที่ทะลักจีน ซึ่งศุลกากรจีนระบุว่ามีการส่งออกบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาและอุปกรณ์ (พิกัดศุลกากร 8543.40, 2404.12) มายังประเทศไทยช่วง ม.ค. พ.ย. 66  กว่า 1,600 ล้านบาท