“ถอดกลยุทธ์กรุงศรี สู่ ธนาคารชั้นนำ” ผ่านแนวคิด “GO Sustainable with krungsri”

“ถอดกลยุทธ์กรุงศรี สู่ ธนาคารชั้นนำ” ผ่านแนวคิด “GO Sustainable with krungsri”

ในวันที่ “ความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมด้วยช่วยกัน กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) และบริษัทในเครือ ในฐานะกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของไทย ด้านสินทรัพย์ สินเชื่อ และเงินฝาก จึงมุ่งมั่นสู่การเป็น Market Shaper ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งภาคการเงินและขับเคลื่อนประเทศสู่ความยั่งยืน ด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการ พร้อมให้การสนับสนุนลูกค้า พันธมิตร และทุกภาคส่วนของสังคมในการเดินหน้าสู่ความยั่งยืนไปด้วยกัน เพื่อเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่สำคัญที่จะช่วยเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้า สร้างสังคมไทยให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นต่อไป 

อย่างไรก็ตาม  ในขณะที่ถนนทุกสายต่างมุ่งหน้าสู่การสร้างความยั่งยืน แต่เส้นทางพิชิตเป้าหมายดังกล่าวอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ดังนั้น เพื่อผลักดันให้เกิดความยั่งยืนในทุกมิติ ​พร้อมขับเคลื่อนสู่เป้าหมายในการเป็น “ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน” (The Leading Sustainable and Regional Bank) อย่างแท้จริง กรุงศรีจึงชูแนวคิด “GO Sustainable with krungsri” ที่ไม่เพียงให้ความสำคัญทั้งเรื่องการเติบโตอย่างยั่งยืนและรักษาความเป็นผู้นำทางธุรกิจ แต่ยังพร้อมเคียงข้างและสนับสนุนลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน  สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจและสังคม  

ไพโรจน์ ชื่นครุฑ

นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ฉายภาพให้เห็นทิศทางการเดินหน้าแผน “GO Sustainable with krungsri” อย่างน่าสนใจว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กรุงศรีได้ประกาศแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ 2567 – 2569 หรือ Medium-term Business Plan (MTBP) 2024 – 2026 ภายใต้แผนดังกล่าวกรุงศรีให้ความสำคัญกับ 2 เรื่องหลัก คือ การเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาค (Regional) และการขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable) 

ในด้านการขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งกรุงศรีให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก จะดำเนินการใน 2 ด้านหลัก ด้านแรก คือ การเติบโตอย่างยั่งยืนและรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจหลัก (Sustainable Core Business) ด้วยการนำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเข้ามา เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ ขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูล (Data) เพื่อก้าวให้ทันกับความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งให้ความสำคัญด้านความร่วมมือกับพันธมิตรและการสร้างอีโคซิสเต็มส์ให้กับธุรกิจทั้งในประเทศและอาเซียน ด้านที่สอง คือ การขับเคลื่อนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน (Sustainable Society) โดยให้การสนับสนุนลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน  และให้ความสำคัญกับการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทยในภาพรวม  

ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นทิศทางการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม นายไพโรจน์ ขยายความให้เห็นภาพว่า กรุงศรี ได้มีการตั้ง 2 เป้าหมายสำคัญ คือ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการทางธุรกิจของธนาคารภายในปี 2573 นอกจากนี้ กรุงศรียังมุ่งลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการให้บริการทางการเงินทั้งหมดภายในปี 2593 

ADVERTISMENT

“ในปี 2566 เรามีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการทางธุรกิจของธนาคารอยู่ที่ราว 51,633 ตันกิโลคาร์บอน ดังนั้นโจทย์ของเราจากนี้ไปจนถึงปี 2573 คือ จะลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์อย่างไร คำตอบ คือ เราต้องกลับมาให้ความสำคัญกับการดำเนินการภายในกรุงศรี (Own Operations)  ที่ผ่านมา เราได้ริเริ่มและดำเนินการหลายโครงการต่อเนื่อง เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งมีการปลูกฝัง Krungsri Sustainability DNA ให้เกิดขึ้นภายในองค์กร เพื่อให้ทุกคนในองค์กรตั้งแต่ระดับผู้บริหารและพนักงานได้มีส่วนร่วม ปรับเปลี่ยนและเรียนรู้เรื่องการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าและมีประสิทธิภาพ การลดขยะอาหารที่ต้องฝังกลบให้เป็นศูนย์ เดินหน้าสู่การเป็น Net-Zero Organization อาทิ การเปลี่ยนระบบเครื่องทำความเย็น (Chiller Plant) การติดตั้งแผงโซลาเซลล์ การเปลี่ยนรถยนต์ส่วนกลางและจักรยานยนต์ที่ใช้ในการรับส่งเอกสารเป็นยานยนต์ไฟฟ้า การกำจัดขยะ ทั้งที่สำนักงานใหญ่ อาคารสำนักงานอื่นๆ ของกรุงศรี และสาขาของธนาคาร” 

ADVERTISMENT

มาถึงอีกหนึ่งเป้าหมายใหญ่ นั่นคือ การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการให้บริการทางการเงินทั้งหมดภายในปี 2593 ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่ยากและท้าทายไม่น้อย ในการสนับสนุนให้คู่ค้าเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน ที่ผ่านมา กรุงศรีมีการสนับสนุนการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ทั้งในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ทางการเงินและการส่งต่อความรู้ผ่านงานสัมมนาต่างๆ รวมถึงการพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน โดยนอกจากกรุงศรีจะลดการสนับสนุนทางการเงินแก่โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน ยังตั้งเป้าหมายเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืน (Social and Sustainable Finance) จำนวน 100,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 (จากปีฐาน 2564) แต่จากข้อมูล ณ สิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กรุงศรีได้ให้เงินสนับสนุนแก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืนเพิ่มขึ้น 76,000 ล้านบาท (จากปีฐาน 2564) ซึ่งใกล้ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 100,000 ล้านบาท ทำให้กรุงศรีกำลังพิจารณาปรับเพิ่มเป้าหมายให้เหมาะสมกับศักยภาพและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น  

“กรุงศรียังทำงานอย่างใกล้ชิดกับ MUFG สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ พัฒนาโซลูชันทางการเงินที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล และเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยออกสู่ตลาด ปัจจุบันกรุงศรีอยู่ในตำแหน่งผู้นำในตลาดทุนและตลาดสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย เป็นผู้ออกตราสารเพื่อความยั่งยืน (ESG Bond Underwriting) โดยมีส่วนแบ่งตลาดราว 20% และเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยรายแรกที่ออกผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืนใหม่ๆ สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ สินเชื่อเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน และเงินฝากเพื่อความยั่งยืน”

อย่างไรก็ตาม เพื่อพิชิตเป้าหมายการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน กรุงศรีไม่เพียงสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร และสนับสนุนลูกค้าด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน แต่ลงลึกไปถึงการวางรากฐานด้านความยั่งยืนที่แข็งแกร่ง โดยปัจจุบันกรุงศรีอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้มีมาตรฐานสากล TCFD (Task Force on Climate-related Financial Disclosures: TCFD) ผ่านคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IECC) ของธนาคาร และจัดเดินหน้าจัดทำแผน Transition Plan เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero โดยจะเริ่มจากภาคพลังงานและภาคการขนส่ง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2568 รวมทั้งเป็นหนึ่งในธนาคารหลักที่ทำงานภายใต้สมาคมธนาคารไทย เพื่อช่วยภาคธนาคารไทยเร่งพัฒนาแผน Transition Plan สำหรับภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ

“ภายในปี 2567 กรุงศรียังจะนำประเด็น Climate Risk เข้าไปอยู่ในแผนการดำเนินงานทั้งหมดของธนาคาร เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อคู่ค้าและลูกค้า เพราะ Climate Risk ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่มีบทบาทสำคัญ นอกจากความเสี่ยงของโลก (Global Risk) และความเสี่ยงทางตลาด (Market Risk) เพราะจากรายงาน Global Climate Risk Index ฉบับปี 2564 ที่จัดทำโดย Germanwatch ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 9 จากกว่า 170 ประเทศทั่วโลก ที่มีความเสี่ยงจากผลกระทบจากน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น”

ทั้งหมดนี้ คือ กลยุทธ์ภายใต้แผน “GO Sustainable with krungsri” ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของกรุงศรีในการเป็น Market Shaper ที่ไม่ได้มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวสู่การเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืนเท่านั้น แต่มุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ และแม้ว่าภารกิจนี้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่นายไพโรจน์ย้ำว่า “เราไม่ทำวันนี้ไม่ได้ เรามักจะบอกคู่ค้าเสมอว่า อย่ารอให้กฎระเบียบโลกมากำหนดรูปแบบการค้าขายหรือการทำธุรกิจ เราต้องค่อยๆ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนให้มากที่สุด ยิ่งคู่ค้าที่ทำธุรกิจส่งออก หรือ เป็นซัพพลายเชนกับบริษัทต่างชาติ หากสามารถปรับตัวและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเพิ่มแต้มต่อในการแข่งขันได้ดีกว่าคนอื่น”