อนุทิน นำคณะล่องใต้ หาดใหญ่-นาทวี ตรวจเข้มรับมือฝุ่นจิ๋ว-ไฟป่า

อนุทิน นำคณะล่องใต้ หาดใหญ่-นาทวี ตรวจเข้มรับมือฝุ่นจิ๋ว-ไฟป่า

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ช่วงเวลาเดียวกับการเดินทางไปร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร)  ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย พร้อมด้วย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ไปมอบนโยบายพร้อมตรวจเยี่ยมโครงการฝึกตอบโต้เหตุการณ์การป้องกันฝุ่นขนาดเล็กในเขตเมือง และการเผชิญสถานการณ์ไฟป่าจังหวัดสงขลา ประจำปี 2568 ณ สำนักงานเทศบาลนครหาดใหญ่

ในวันนั้น (17 กุมภาพันธ์ 2568) มีการสาธิตการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ โดยสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ซึ่งผ่านการฝึกอบรมโครงการฝึกขีดความสามารถ ของกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้หลักสูตรผู้นำ อส.จชต. ด้วยความร่วมมือของกองบัญชาการ กองอาสารักษาดินแดน และกองทัพบก และการสาธิตเครื่องมือ เครื่องจักรกล จัดเตรียมไว้สำหรับงานแก้ไขปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ

นายอนุทิน กล่าวถึงสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาล โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงความห่วงใย และให้การสนับสนุนภารกิจของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานราชการต่างๆ เพื่อลดปัญหาและผลกระทบต่อประชาชนให้เร็วที่สุด

“ต้องหาวิธีการลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งผลต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน ต้องบังคับใช้มาตรการตามกฎหมายอย่างจริงจังกับผู้ที่ฝ่าฝืนและสร้างความเดือดร้อน ขณะเดียวกัน ก็ต้องดำเนินมาตรการป้องกันควบคู่ไปด้วย”

พร้อมยกตัวอย่างเมื่อครั้งลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ได้เห็นซังข้าวโพด เศษใบไม้แห้งกองมหึมาที่มีน้ำหนักถึง 70,000 กิโลกรัม 

ADVERTISMENT

ทั้งนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ กับนายสุระวุธ จันทร์งาม นายอำเภอแม่แจ่ม ระดมสรรพกำลังประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันอัดก้อนฟางเพื่อไว้ใช้ประโยชน์ต่างๆ ทั้งยังลดปัญหามลพิษ กระทรวงมหาดไทยจึงได้นำเสนอขอรับการจัดสรรงบกลาง เป็นค่าน้ำมัน ค่าขนส่ง เพื่อช่วยเกษตรกรลดการเผา เป็นการสนับสนุนขยายผลให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ

ADVERTISMENT

นายอนุทิน ยังย้ำถึงผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ จะต้องควบคุมไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบให้มีโอกาสเกิดไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก

“เพราะปอดของคนไทยโดยเฉพาะผู้สูงอายุได้รับผลกระทบจากโควิด 19 มาแล้ว ไม่แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน ถ้าต้องรับเชื้อพวกนี้อีก ร่างกายจะทรุดไวเป็น 2 เท่า ดังนั้น ถ้าควบคุมไม่อยู่ หรือไม่ได้รับความร่วมมือ แล้วยังมีผู้ฝ่าฝืน ก็ต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายอย่างเข้มงวด”

จากนั้นในช่วงบ่าย นายอนุทิน พร้อมด้วย น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ลงพื้นที่อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา เพื่อพบปะกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพี่น้องประชาชน ที่วัดนาทวี พร้อมตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำ แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ตลอดจนการดูแลให้มีน้ำดื่มสะอาดสำหรับประชาชน ในพื้นที่จังหวัดสงขลา

นายอนุทิน กล่าวว่า  อำเภอนาทวี เป็นพื้นที่ที่มีความสวยงาม ประชาชนแม้ต่างศาสนา แต่อยู่ร่วมกันด้วยความรักและสามัคคี ซึ่งเป็นพื้่นฐานสำคัญของความเจริญของบ้านเมือง การมาพบกับทุกคนในวันนี้ เปรียบเสมือนมาพบเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชา เพราะประชาชนทุกคนคือผู้บังคับบัญชาของคนมหาดไทย

“ด้วยจุดขายภูมิประเทศที่สวยงาม หลากหลายวัฒนธรรมประเพณี อาหารรสเลิศ ทั้งสงขลารวมถึงทุกจังหวัดในภาคใต้จึงมีความสำคัญในด้านการนำรายได้เข้าประเทศ กระจายรายได้สู่ฐานราก ดังนั้น ความรักความสามัคคีของทุกคนในพื้นที่จะนำพาซึ่งความสงบสุข และจะช่วยดึงดูดการท่องเที่ยวเพื่อนำรายได้มาสู่คนในพื้นที่” 

“กระทรวงมหาดไทยจะเป็นมือเป็นไม้ให้พี่น้องประชาชน เพื่อทำความเจริญเกิดขึ้นกับพี่น้องชาวสงขลา และทุกจังหวัดในภาคใต้ พวกเราต้องร่วมด้วยช่วยกันเป็นหูเป็นตาสร้างความเข้าใจ สร้างความเป็นมิตรให้มากที่สุด”

นายอนุทินยังได้ฝากถึงพี่น้องชาวมุสลิมที่จะไปแสวงบุญประกอบพิธีฮัจญ์ ปฏิบัติศาสนกิจที่มักกะฮ์ กำชับว่า ค่าใช้จ่ายจะลดลงแต่คุณภาพจะสูงขึ้น โดยกระทรวงมหาดไทยยินดีสนับสนุนให้คนที่จะเดินทางแสวงบุญ “ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไป” ให้มีขวัญกำลังใจที่ดี เพื่อกลับมาทำคุณงามความดีให้กับประเทศชาติ ขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการ ทั้งท่านนายอำเภอ และกรมการปกครอง

ด้าน น.ส.ซาบีดา กล่าวว่า วันนี้ตั้งใจเดินทางมาร่วมรับฟังสภาพปัญหา เพื่อที่จะบูรณาการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กำหนดแนวทางให้พี่น้องประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องน้ำประปาดื่มได้ตามนโยบาย รมว.มหาดไทย ทางกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้มีบันทึกข้อตกลงร่วมกับการประปาส่วนภูมิภาค มุ่งส่งเสริมพัฒนาน้ำประปาให้เป็นน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพให้บริการพี่น้องประชาชน

ซึ่งภายในปีนี้จะมีน้ำประปาดื่มได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศไทยอย่างแน่นอน