“บีจีซี” เผยกลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่งธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว มุ่งสู่ “โทเทิล แพคเกจจิ้ง โซลูชั่น” ขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เน้น Sustainability รอบด้าน
‘ประชาชาติธุรกิจ’ สัมภาษณ์พิเศษ ‘ศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ บีจีซี ในเครือบริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน) ซึ่งครองส่วนแบ่งอุตสาหกรรมขวดแก้วเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ เสริมพอร์ตด้วยธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
กลุ่มธุรกิจในปัจจุบันของบีจีซี ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 และ 2 เป็นอย่างไร
กลุ่มธุรกิจหลักๆ ในปัจจุบันของบีจีซีเป็นธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว และธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ นอกจากนี้ก็ยังมีธุรกิจซื้อขายเศษแก้ว ธุรกิจรีสอร์ทและสัมมนา
ปี 2563 นับเป็นปีที่มีความท้าทายอย่างยิ่ง ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 1 บริษัทเติบโตประมาณ 5-6% ช่วงนั้นคาดการณ์กันไว้ว่าหลังปิดไตรมาสน่าจะเติบโตได้ 7-8% แต่เมื่อโควิด-19 เข้าเมืองไทยประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ตัวเลขก็เริ่มนิ่ง จนถึงปลายไตรมาส 1 ตัวเลขจากที่โตก็กลับกลายเป็นตก แต่เมื่อหักกลบลบหนี้แล้ว ถือว่ายังสามารถทำได้ดี สรุปว่าไตรมาส 1 ในแง่ของการเติบโตแบบ Organic Growth บริษัทโตประมาณ 0.1% แต่ถ้าเป็นรายรับโดยรวมจะเติบโตประมาณ 4% คิดเป็นมูลค่ารวม 3,016 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากปัจจัยด้านธุรกิจพลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ประเทศเวียดนาม
พอถึงไตรมาส 2 บริษัทได้รับได้รับอิมแพคเต็มๆ ตั้งแต่เมษายน-พฤษภาคม เนื่องจากมีลูกค้าที่เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ประมาณ 30-40% ของยอดขายทั้งหมด หลังจากรัฐบาลออกมาตรการงดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์จึงทำให้บริษัทได้รับผลกระทบค่อนข้างเยอะ แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายจากความร่วมมือของหลายฝ่าย มีการแก้ไขได้รวดเร็วกว่าที่คิดไว้ จากที่เคยประเมินว่าไตรมาส 2 น่าจะติดลบ 30-40% จึงไม่เป็นไปขนาดนั้น
เราคาดว่าในไตรมาส 3 และ 4 น่าจะกลับมาดี เฉพาะธุรกิจแพคเกจจิ้งอย่างเดียวคาดหวังว่าทั้งปีน่าจะทำยอดขายได้ใกล้เคียงกับปีที่แล้วถ้าไม่มีเรื่องอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบอีก นอกจากนี้ก็ยังมีธุรกิจพลังงานในเวียดนามที่คาดจะส่งผลดีในด้านรายรับ
ดังนั้นในแง่ของผลกำไรประเมินว่าอัตรากำไรจะไม่ตก การเติบโตจะดีกว่ายอดขาย ซึ่งธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ที่เวียดนาม เป็นธุรกิจที่อัตรากำไรดีกว่าธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว ในแง่ของตัวเลขกำไร Bottom Line เติบโตมากกว่ายอดขาย
ทิศทางธุรกิจที่วางแผนไว้ในครึ่งปีหลัง
เนื่องจากธุรกิจหลักของบริษัทคือบรรจุภัณฑ์แก้ว จึงยังมุ่งเน้นในเรื่องของการรีคัฟเวอร์ยอดขาย นอกจากการบริหารจัดการการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าภายหลังจากการปลดล็อกมาตรการต่างๆ แล้ว ยังต้องมองหาตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ก็กำลังอยู่ระหว่างเจรจาการควบรวมและการซื้อกิจการ (M & A) ประมาณ 2-3 ดีล อย่างที่เรากล่าวไว้เสมอว่า จะมีการมองหาพาร์ทเนอร์หรือร่วมทุนกับกิจการอื่นๆ ซึ่งก็มีการพูดคุยทั้งในมุมของธุรกิจพลังงานและธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นๆ
เหตุผลที่สนใจธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นๆ นั้น เนื่องจากบีจีซีมีบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วเป็นหลัก ส่วนบริษัทในเครือบีจีก็มีบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่นๆ ได้แก่ กระดาษคราฟท์ ฉลากฟิล์ม ฝาพลาสติก กล่องกระดาษลูกฟูก ฯลฯ จากความเชี่ยวชาญและความชำนาญของบริษัทในเครือ จึงคิดว่าสามารถต่อยอดไปยังธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นๆ ได้ นอกจากนี้ก็ยังต้องการเพิ่มความหลากหลายเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้มากกว่าขวดแก้ว เป็น ‘Total Packaging Solution’ ฝ่ายขายสามารถออฟเฟอร์ลูกค้าได้ตั้งแต่ขวดแก้วเปล่าๆ จนถึงแร็ปขวด หรือถ้าต้องการบรรจุในกล่องกระดาษก็มีจำหน่ายด้วยเช่นกัน เป็นการรองรับความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมและครบวงจรยิ่งขึ้น
และอีกอุตสาหกรรมที่มีแผนจะทำ M & A เพิ่ม ก็คือพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานน้ำ ใน 3 ประเทศหลักๆ ได้แก่ ญี่ปุ่น เวียดนาม ไต้หวัน ปีนี้มีแผนที่จะเพิ่มธุรกิจด้านนี้เข้ามาในพอร์ตฟอลิโอพร้อมกับตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้ปีละ 100 เมกะวัตต์
ย้อนถามว่าบีจีซีทำธุรกิจบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วมานานจนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด เหตุใดจึงสนใจลงทุนธุรกิจพลังงาน
เนื่องจากลักษณะของการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วจำเป็นต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ ไม่สามารถนำมาซ้อนทับกันเหมือนกระดาษ รวมทั้งโรงงานผลิตก็ต้องใช้พื้นที่เยอะ เคยคำนวณกันว่าอุตสาหกรรมผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วใช้พื้นที่คิดเป็นจำนวนไร่มากกว่าอุตสาหกรรมผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษถึง 5 เท่าในขณะที่ยอดขายใกล้เคียงกัน
เมื่อหลังคามีขนาดใหญ่บวกกับความต้องการใช้ไฟฟ้าในปริมาณมากสำหรับการผลิตบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงานคลังสินค้าเมื่อ 10 ปีที่แล้วซึ่งช่วยให้ประหยัดต้นทุนการผลิตไปได้มาก
ภายหลังจากที่ทำมาเป็นเวลาถึง 10 ปียังเกิดเป็นความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ จากที่จ้างบริษัทอื่นมาดำเนินการติดตั้ง ก็มีทีมงานของบีจีซีที่สามารถติดตั้งได้เองและเพิ่มความชำนาญขึ้นเรื่อยๆ สามารถคำนวณต้นทุนในการติดตั้งได้ เรียกว่าเป็น Next Step ที่ทำให้บริษัทมีความสนใจลงทุนในธุรกิจพลังงานในรูปแบบของการร่วมทุนและซื้อกิจการ ซึ่งในอนาคต 4-5 ปีข้างหน้าอาจมีการปรับแผนเป็นการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเอง
มีการวางกลยุทธ์เกี่ยวกับลูกค้าอย่างไร
เมื่อสถานการณ์ต่างๆ เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เราจึงเดินหน้าขยายธุรกิจผ่านกลยุทธ์การให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยเน้นการให้บริการใน 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์, คุณภาพระดับสากล, การให้คำปรึกษากับลูกค้าในทุกโอกาส, การจัดเก็บและการจัดส่งสินค้าควบคู่ไปกับการพัฒนาทีมงานให้มีศักยภาพรอบด้าน เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร รวมถึงมุ่งขยายฐานการส่งออกให้กับลูกค้าที่มีอัตรากำไรดี เช่น กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่มีราคาแพง กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมยา เป็นต้น
เป้าหมายทางธุรกิจในอีก 5-10 ปี
บีจีซีวางเป้าหมายไว้ว่าจะยังคงเติบโตใน 2 ธุรกิจหลัก ก็คือ ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้ว และธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ ในส่วนของธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วก็จะสร้างความแข็งแกร่งด้วยบรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อมุ่งสู่ ‘Total Packaging Solution’ สำหรับธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมีการตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 300-400 เมกะวัตต์ภายใน 5 ปี
นอกจากนี้ เรายังต้องการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจอย่างรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว