“จุรินทร์” ปลื้ม!!! ส่งออกเมษา บวก 13% สูงสุดรอบ 3 ปี

“จุรินทร์” ปลื้ม!!! ส่งออกเมษา บวก 13% สูงสุดรอบ 3 ปี ยันยังไม่ปรับเป้า แต่สั่ง พณ.จับมือเอกชนลุยเปิดตลาดรัสเซีย-ตะวันออกกลาง เร่งทำตัวเลขหาเงินเข้าประเทศให้ได้มากสุด

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ผ่านระบบ VDO Conference ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการโสมสวลี ชั้น 11 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

นายจุรินทร์ กล่าวว่าตัวเลขการส่งออกขณะนี้ถือว่าดีขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะปี 2564 ตัวเลขเดือนมกราคมเป็นบวก เดือนมีนาคมบวกถึง 8.47% โดยเฉพาะเดือนเมษายนนี้บวกถึง 13.09 % ซึ่งถือว่าเป็นบวกสูงสุดในรอบ 3 ปี ทั้งหมดนี้เกิดจากความร่วมมือในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชน ภายใต้กลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและะเอกชนด้านการพาณิชย์ หรือ กรอ.พาณิชย์ ทำให้ปัญหาอุปสรรคหลายอย่างที่ขัดข้องในช่วงที่ผ่านมาสามารถแก้ไขได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการเร่งเปิดด่าน เพื่อเร่งการค้าชายแดนที่มีผลต่อตัวเลขการส่งออก รวมทั้งการขจัดปัญหาอุปสรรคในด่านที่จะส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญทางบก เช่น ประเทศจีนบริเวณด่านเวียดนามกับจีน เช่น ด่านโหย่วอี้กวน ด่านตงซิงและด่านอื่นๆ รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งขณะนี้เรือขนาดใหญ่ 400 เมตรสามารถนำตู้คอนเทนเนอร์ที่เป็นตู้เปล่ามาเทียบท่าที่แหลมฉบังได้แล้ว วันพรุ่งนี้จะเป็นลำที่ 2 สามารถนำตู้เปล่าเข้ามาได้เป็นจำนวนมาก ถือเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่เราจับมือกับภาคเอกชนแก้ปัญหาร่วมกันกับท่าเรือแหลมฉบังและจะมีเรือนำเข้าตู้คอนเทนเนอร์เปล่าเพิ่มเติมเข้ามาอีกหลายลำต่อไปในอนาคต เป็นตัวอย่างที่เห็นถึงการทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนมีผลทำให้ตัวเลขการส่งออกดีขึ้น ส่วนเรื่องเป้าส่งออกที่ 4% สำหรับปี 2564 นั้น ยังไม่จำเป็นต้องปรับเป้า แต่ตนได้มอบนโยบายให้กระทรวงไปแล้วว่าเราจะต้องจับมือกับภาคเอกชนและทำตัวเลขให้ได้เกินเป้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จนสุดความสามารถ และจะต้องเร่งรัดการเปิดตลาดใหม่ โดยได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศและกรมการค้าต่างประเทศ จับมือกับภาคเอกชนดำเนินการเปิดตลาดใหม่ เช่น ตลาดรัสเซีย ตลาดตะวันออกกลาง รวมทั้งเร่งทำเอฟทีเอกับประเทศคู่ค้าสำคัญ เพื่อเพิ่มตัวเลขการส่งออกทั้งเอฟทีเอไทย-อียู ไทย-สหราชอาณาจักร หรือกับประเทศอื่นๆ รวมทั้งเร่งรัด”มินิ เอฟทีเอ”กับมณฑลไห่หนานของจีน รัฐเตลังกานาของอินเดีย และพื้นที่อื่นๆต่อไป

เพราะขณะนี้การส่งออกถือเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศจะเรียกว่าเป็นพระเอกก็ได้ เพราะเป็นเครื่องยนต์เดียวที่มีผลเป็นรูปธรรมที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและจะมีผลในการทำให้จีดีพีของไทยในปี 2564 เป็นบวกได้