“การเริ่มต้นใหม่” ในปี 2565 ที่เป็นการจัดแสดงแบบครบวงจรทั้งการจัดแสดงในรูปแบบปกติและออนไลน์ รวบรวมผู้เข้าร่วมแสดงสินค้าทั้งหมด 1,603 ราย เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับงานที่จัดในรูปแบบปกติที่จัดครั้งล่าสุดเมื่อปี 2563 และแม้จะมีกฎระเบียบด้านการเดินทางที่เข้มงวดสำหรับบางประเทศ แต่จำนวนผู้ร่วมแสดงสินค้าจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยมีผู้แสดงสินค้าจากต่างประเทศมากถึง 881 รายในปีนี้ ก็เป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของงาน THAIFEX – Anuga Asia ที่ช่วยผลักดันการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอาหารในภูมิภาคภายหลังจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ผ่านมา

โดยทางนายจิระวิทย์ วงษ์พิทักษ์ ผู้อำนวยการสายงานแบรนด์และการตลาดต่างประเทศบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดเเอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ที่บูท เถ้าแก่น้อย ภายในงาน THAIFEX – Anuga Asia 2022 งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่และครบวงจรที่สุดแห่งเอเชีย ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานีถึงภาพรวมตลาดต่างประเทศของบริษัทเถ้าแก่น้อยว่า ที่ผ่านมา ซึ่งมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทางบริษัทเถ้าแก่น้อยไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก เนื่องจากได้เริ่มทำในส่วนของอีคอมเมิร์ซมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงสามารถดำเนินการขายต่อไปได้ ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี จากเมื่อก่อนทางออนไลน์ไม่ดีเลย ก็กลับกลายเป็นว่า บางประเทศมียอดขายเพิ่มขึ้น โดยในขณะนี้ บริษัทเถ้าแก่น้อยมีการค้าขายกับต่างชาติประมาณ 40 ประเทศ ส่วนที่ยังไม่ได้เข้าไปมากนักคือตะวันออกกลาง เนื่องจากการรับประทานสาหร่ายของชาวตะวันออกกลางอาจจะเป็นเรื่องใหม่ ซึ่งเราก็พยายามเจาะอยู่
นายจิระวิทย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของตลาดต่างประเทศที่เราค่อนข้างแข็งแรงคือเอเชีย โดยสินค้าประเภทสาหร่ายที่มีจำหน่ายในขณะนี้คือ ทอด ย่าง เทมปุระ อบ ซึ่งสินค้าของเราเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด แต่ผู้บริโภคในแต่ละประเทศอาจมีพฤติกรรมการบริโภคสินค้าประเภทต่างๆ ที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ เรามีแบรนด์ NORAจำหน่ายในอเมริกา และแคนาดา ตอนนี้มีสินค้าประเภททอดกับเทมปุระ
สำหรับจุดเด่นของสินค้าเถ้าแก่น้อยนั้นเป็นเพราะต่างประเทศให้การยอมรับ เมื่อได้ชิมแล้วถูกใจ อย่างเช่นคนจีน ถ้าเขาชอบแล้วก็จะรักเลยและด้วยความที่เป็นแบรนด์ไทยที่มีสตอรี่ของคุณต๊อบ(นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง)เป็นแรงบันดาลใจ รวมทั้งมีการพัฒนาแพ็กเกจจิ้งสินค้าตลอดเวลาอยู่แล้วทำให้ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน บริษัทเถ้าแก่น้อยมีคู่แข่งเป็นจำนวนมากทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งมาจากเทรนด์ทั่วโลกส่วนมูลค่าการตลาดสาหร่ายทั่วโลก สัดส่วนเมื่อก่อนนี้ ไทยกับต่างประเทศเป็น 50-50 ตอนนี้ต่างประเทศเยอะกว่าแล้ว เป็น 60 เปอร์เซ็นต์ หลักๆ ก็จะเป็นจีน ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์
นายจิระวิทย์ กล่าวถึงภาพรวมการจัดงานTHAIFEX ปีนี้ว่ามีคนเยอะมากกว่าปีที่แล้วมีความหลากหลายมีต่างชาติโซนใหม่ๆ เช่นยุโรป ตะวันออกกลาง เข้ามา สิ่งที่เรามุ่งหวังในงานนี้คือ เรายังอยู่ ยังแข็งแรงในเรื่องของแบรนดิ้ง ต่อมาคือเรื่องตลาดใหม่ๆ เช่น ตะวันออกกลาง อินเดีย ยุโรปบางโซน ที่เรากำลังมองหาอยู่ เป็นภาพรวมของในปีนี้
สิ่งที่เราจะเน้นคือ พฤติกรรมผู้บริโภค อย่างเช่น อินเดีย รับประทานอาหารเจ มังสวิรัติ สาหร่ายมองว่ายังไม่ใช่มังสวิรัติ แต่ด้วยเทรนด์ที่กำลังมาก็น่าจะช่วยเราได้มากขึ้น เราพยายามที่จะพัฒนาสินค้าที่จะตอบโจทย์เรื่องสุขภาพมากขึ้น เช่น มีการลดโซเดียม ใส่ถั่ว เมล็ดทานตะวัน งา หรือตัวสินค้าที่มีการอบก็ขายดีขึ้นมาก มีการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันรำข้าวในการทอดรวมทั้งมีการปรับแพ็กเกจจิ้งให้มีส่วนในการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลกมากขึ้นด้วย

นายจิระวิทย์ กล่าวว่า แผนงานในอนาคตอันใกล้ของบริษัทเถ้าแก่น้อยเราจะลงลึกส่วนโลคอลคอนเทนต์ โฟกัสมากขึ้น เจาะลงไป ตอนนี้มีแผนรองรับแล้ว อย่างที่ผ่านมาเน้นตลาดฮาลาลในมาเลเซียและอินโดนีเซียจนเติบโตขึ้นมาก เราพยายามสื่อสารให้มากขึ้น ลงลึกให้มากขึ้นอีก เป้าหมายปีหน้าจะเดินหน้าทำตลาดที่ไม่เคยทำ อาทิ เม็กซิโก แอฟริกา ซึ่งมีการคุยกันบ้างแล้ว