‘บิ๊กตู่’ยกพระราชพิธีฯ ร.9 ประจักษ์แก่ชาวโลก สรรเสริญพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่

เมื่อเวลา 20.15 น. วันที่ 27 ตุลาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ตอนหนึ่งว่า ขออัญเชิญส่วนหนึ่งของบทเพลงพระราชนิพนธ์ “สายฝน” เพื่อเป็นกำลังใจ ให้กับพี่น้องประชาชน คนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า บทเพลงพระราชนิพนธ์สายฝน มีความว่า “…พระพรมท่านบันดาลให้ฝนหลั่ง เพื่อประทังชีวิตมิทราม น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชุ่มธารา…”

โดยความหมายของ “ฝน” นั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความชุ่มชื่น ความสุข และความหวัง สำหรับประเทศเกษตรกรรมดังเช่นประเทศไทยของเรา “ฝน” นั้นอาจเป็นอุปสรรคสำหรับการดำรงชีวิตบ้าง แต่ไม่เป็นข้อจำกัดสำหรับการแสดงความจงรักภักดีของพสกนิกรชาวไทยที่มีแด่ “พ่อหลวงของปวงชน” และ “ฝน” นั้นอยู่คู่ฟ้า แล้วก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของโลก เหมือนคำสอนของ “ในหลวงของเรา” ที่จะเป็นมรดกพระราชทาน จะอยู่คู่ชาติไทย ตราบเท่าที่พวกเราได้น้อมนำไปสู่การปฏิบัติ ด้วยความเข้าใจ อย่างถ่องแท้ ดังนั้นน้ำฝนจึงเปรียบเสมือนน้ำพระทัย จากพ่อของแผ่นดิน อันเป็นน้ำทิพย์ชโลมหัวใจไทยทั้งชาติ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอแสดงความชื่นชมและขอขอบคุณประชาชน ที่ได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีของพ่ออย่างแข็งขัน ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่จิตอาสา ข้าราชการ อาสาสมัคร ช่างสิบหมู่ ที่ร่วมกันตระเตรียมงานและดำเนินการทุกอย่าง ความร่วมมือจากสถานีวิทยุ โทรทัศน์ สื่อมวลชนแขนงต่างๆ ที่ช่วยบริการด้านข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สำหรับทุกฝ่ายและภาคเอกชน ผู้ประกอบการร้านค้า สถานเอกอัคราชทูตในทุกประเทศที่มีคนไทยอาศัยอยู่ โดยงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้ปรากฏเป็นที่ ประจักษ์แก่สายตานานาอารยประเทศ ถึงความสง่างามสมพระเกียรติยศอันสูงยิ่งตามแบบแผนโบราณราชประเพณี การแสดงออกถึงความจงรักภักดีของพสกนิกรไทย ที่มีแด่พระองค์ พระผู้เปรียบเสมือน พ่อ ของปวงชนชาวไทยทั้งแผ่นดินนั้น ก็ได้ประจักษ์แก่หัวใจของชาวโลกด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ทั่วโลกถือเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของมวลมนุษยชาติและยกย่องสรรเสริญ ให้พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่จะถูกจดจำและบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ไปอีกนานเท่านาน

“ขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านได้ดำรงตนให้เข้มแข็ง ขออย่าได้อ้างว้าง ว้าเหว่ แต่จงแปรความรู้สึกเปลี่ยวเปล่าและเหน็บหนาวใจเหล่านั้นให้เป็นพลังแห่งความศรัทธา ความเพียรอันบริสุทธิ์ ที่จะร่วมมือกันสร้างประชารัฐในการพัฒนาประเทศชาติ ทำนุบำรุง และรักษาแผ่นดินไทยให้เจริญรุ่งเรือง สมเป็น สุวรรณภูมิ ดั่งที่พระองค์ทรงตั้งพระราชปณิธาน และทรงทุ่มเทพระวรกายมาตลอดระยะเวลา 70 ปี เรายังมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 10 ประทับเป็นมิ่งขวัญและกำลังใจ โดยเสด็จฯ ขึ้นทรงราชย์ เพื่อสืบสานพระราชปณิธาน และสานต่อพระราชภารกิจ แห่งสมเด็จพระบรมชนกนาถ สืบไป ขอให้ทุกคนได้จดจำช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่ดวงใจชาวไทยทุกดวงหลอมรวมเป็นหนึ่ง ในการถวายความอาลัยรักต่อพระองค์ท่าน จดจำความรัก ความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ที่เรามีให้กัน และนำเอาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นำเอาพลังแห่งความรัก ความภักดีนี้ มาร่วมกันสร้างประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ”นายกฯ กล่าว

 


ที่มา  มติชนออนไลน์