
ต้องยอมรับว่าเป้าหมายของ “เอสซีจี” ในการผลักดันยอดขายผลิตภัณฑ์สีเขียว (SCG Green Choice) พุ่งแตะสัดส่วน 67% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2030 ทั้งนี้ อาจฟังดูเป็นเป้าหมายที่ท้าทายมาก เพราะยอดขายของเอสซีจีแต่ละปีคือตัวเลขมูลค่าหลักแสนล้าน ดังนั้น หมายความว่าเอสซีจีจะต้องมีนวัตกรรมกรีนใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะต้องตอบโจทย์ความต้องการของตลาดทั่วภูมิภาค
ผลเช่นนี้ จึงทำให้เอสซีจีปักธงเปิดพื้นที่ให้พนักงาน และบุคคลทั่วไปที่มีไอเดียดี นำเสนอโปรเจ็กต์ด้านกรีน เพื่อเปลี่ยนพลังคนให้เป็นโอกาส ในการมุ่งสู่การเป็น “องค์กรแห่งโอกาส” (Organization of Possibilities)

“ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี มองว่าเรื่องท้าทายดังกล่าวเป็นไปได้ เพราะทุกหน่วยธุรกิจของเอสซีจี มุ่งมั่นเดินหน้าสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมกรีนมาระยะหนึ่งแล้ว ข้อสำคัญคือต้องเปิดทางให้น้อง ๆ คนรุ่นใหม่ ไปจนถึงทุกคนที่มีไอเดียทั้งในและนอกองค์กร
มีพื้นที่สร้างสรรค์นวัตกรรมกรีนที่ทั้งช่วยลดคาร์บอน และเพิ่มฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ตลาดแต่ละกลุ่มได้จริง เอสซีจีจึงปรับองค์กรให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น การสร้างสตาร์ตอัพในองค์กร การจัดเวทีให้คนรุ่นใหม่แสดงความสามารถ รวมถึงการเข้าไปลงทุนธุรกิจด้านกรีนในต่างประเทศ
โดยหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุด คือ การจัดโครงการ Zero-to-one พื้นที่สำหรับคนเอสซีจีที่มีไอเดียดี นำเสนอโปรเจ็กต์สร้างสตาร์ตอัพของตัวเอง ดังเช่น “ภัทรพร วงศ์ปิยะสถิต” ที่เสนอทำ Wake Up Waste ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน โดยเป็นเครื่องบีบอัดขยะ
เนื่องจากการขนส่งขยะรีไซเคิลจากคอนโดมิเนียมและอาคารต่าง ๆ นั้น มักมีต้นทุนสูง ขนส่งต่อรอบได้ครั้งละจำนวนไม่มาก เครื่องบีบอัดขยะของ Wake Up Waste จะช่วยบีบอัดอากาศในขยะที่คัดแยกไว้แล้ว เช่น ขวดพลาสติกให้กลายเป็นก้อนที่สามารถจัดเก็บได้ง่ายขึ้น ลดพื้นที่กองเก็บลง 5-10 เท่า หรือใช้รถรับซื้อขยะรีไซเคิลเพียงคันเดียว จากเดิมที่อาจต้องใช้ 5-10 คัน
“ภัทรพร” กล่าวว่า จากการนำไอเดียไปนำเสนอโครงการ Zero-to-one สู่การดำเนินโครงการจริงมาแล้ว 19 เดือน ทางเอสซีจีให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เงินทุนก้อนแรกในการพัฒนาเครื่องต้นแบบ การให้คำปรึกษา การช่วยหาลูกค้า ปัจจุบันทีมไม่ต้องทำงานในตำแหน่งเดิมแล้ว สามารถมาโฟกัสกับโปรเจ็กต์นี้ได้อย่างเต็มตัว ทำให้มีลูกค้าทั้งคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน โรงแรม รวมกว่า 300 อาคาร คิดเป็นปริมาณขยะสะสมกว่า 1,150 ตัน ทั้งยังช่วยลดคาร์บอนเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 60,000 ต้น
“ดังนั้นภายในปีนี้ จึงตั้งเป้าจะมีลูกค้าอาคารสะสมเพิ่มเป็น 1,400 อาคาร รวมถึงอาจได้รับการสนับสนุนให้ Spin-off เป็นธุรกิจของตัวเอง โดยมีทั้งเอสซีจี และนักลงทุนภายนอกเข้ามาช่วยสนับสนุนเพิ่มเติมอีกด้วย”

กล่าวกันว่า ไม่แต่เพียงพนักงานเอสซีจีที่ได้รับการสนับสนุนไอเดียสู่นวัตกรรม หากคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เป็นพนักงานของเอสซีจียังได้รับโอกาสเช่นกัน ยกตัวอย่าง “รัฐศิลป์ โพธิ์ประพันธ์” ศิษย์เก่าโครงการ SCG Young Talent Program ที่ครั้งหนึ่งเคยเข้าร่วมโครงการ SCG Young Talent Program
โครงการที่เปิดให้นักศึกษาเข้ามา “ลองทำงาน” ไม่ใช่แค่ “ฝึกงาน” ทั้งยังเคยร่วม Bootcamp พัฒนาทักษะด้านการออกแบบ ด้านเทคโนโลยี ด้านองค์ความรู้ทางธุรกิจอย่างเข้มข้น ก่อนจะร่วมตะลุยโปรเจ็กต์สร้างนวัตกรรมเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน
โดยโปรเจ็กต์ดังกล่าวเป็นการรองรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ภายใต้ชื่อ “Never Fall” นวัตกรรม AI ตรวจจับท่าทางการเดินของผู้สูงอายุเพื่อใช้คำนวณว่าผู้สูงอายุคนนี้มีความเสี่ยงในการพลัดตก หรือหกล้มมากแค่ไหน เพื่อตอบโจทย์เวชศาสตร์การป้องกัน ไม่ใช่รอแก้ปัญหาปลายเหตุแบบนวัตกรรมกลุ่มตรวจจับการหกล้ม
โดยล่าสุด หลังจบโครงการ SCG Young Talent Program “รัฐศิลป์” ก้าวเข้ามาเป็นพนักงานของ “SCG We Do” หน่วยสร้างสรรค์นวัตกรรมในเครือเอสซีจี ปัจจุบันกำลังซุ่มทำโปรเจ็กต์นวัตกรรมกรีน MEPLUG (มีปลั๊ก) ร่วมกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อตอบโจทย์ชาวคอนโดมิเนียม และผู้ใช้รถ EV
แก้ปมปัญหาที่นิติบุคคลอาคารชุดไม่อยากให้มีปลั๊กในพื้นที่ส่วนกลาง เพราะกลัวคนขโมยไฟฟ้าใช้ ด้วยการทำปลั๊กพิเศษที่สามารถเก็บเงินคนที่ใช้งานโดยตรงได้ ซึ่งอาจนำมาใช้ทดแทน EV Charger แบบ AC หรือแบบ DC ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีต้นทุนถูกกว่า และตอนนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาอุปกรณ์ต้นแบบเวอร์ชั่นที่ 3

“พัทรพล เกษมธนกุล” VC Manager, Deep Technology Venture Capital ในเครือเอสซีจี กล่าวเสริมว่า นอกจากเราจะเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ภายในประเทศ หากเอสซีจียังสรรหานวัตกรรมใหม่ ๆ ผ่านการลงทุน ความร่วมมือ สร้างโอกาส “เป็นไปได้ด้วยกัน” ด้านกรีน กับคนทั่วโลกอีกด้วย
“สำหรับหน้าที่หลักของทีมคือการเสาะหาสตาร์ตอัพ และไปลงทุนในสตาร์ตอัพที่มีเทคโนโลยีสำคัญกับเอสซีจีในอนาคต ทั้งเชิงกลยุทธ์ และเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งปัจจุบันเราลงทุนในสตาร์ตอัพไปแล้วกว่า 20 ราย เน้นสตาร์ตอัพในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากต่างภูมิภาคมาใช้ทั้งในไทยและอาเซียน”
ดังนั้น ทิศทางการขับเคลื่อน “องค์กรแห่งโอกาส” ด้วยพลังคน เพื่อสร้างโอกาส และนวัตกรรมกรีน น่าจะกลายเป็นหนึ่งในทิศทางหลักของเอสซีจีนับจากนี้ ทั้งนั้นเพราะ “ซีอีโอ” เชื่อมั่นว่า การทำงานระหว่าง “คนรุ่นก่อน” และการเปิดทางของ “คนรุ่นใหม่” จะเกิดความคล่องตัวขึ้น อันเป็นหัวใจสู่ความสำเร็จของการสร้างสรรค์นวัตกรรมใน 3-5 ปีข้างหน้านับจากนี้