เอสซีจี ประกาศนวัตกรรมกรีนทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่หวั่นปิโตรเคมีผันผวน

เอสซีจีเสริมแกร่งธุรกิจ ลดคาร์บอนตามแนวทาง Inclusive Green Growth เพิ่มความสามารถแข่งขันระยะยาว เพิ่มพอร์ต LSP ด้วยอีเทน ส่งออกปูนคาร์บอนต่ำ ขยายธุรกิจพลังงานสะอาดสู่อาเซียน ผลักดันเศรษฐกิจเติบโตแบบโลว์คาร์บอน

วันที่ 16 กันยายน 2567 นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า สถานการณ์โลกปัจจุบันและทิศทางอนาคต ในระยะ 2-5 ปี จะมีความผันผวนมากขึ้น ทั้งความท้าทายจากเศรษฐกิจและการค้าโลกที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมทั้งกฎเกณฑ์และโอกาสใหม่ ๆ จากเทรนด์รักษ์โลก ทุกธุรกิจของเอสซีจีจึงเดินหน้าปรับกลยุทธ์ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ พร้อมลดคาร์บอนไดออกไซด์ ตามแนวทาง Inclusive Green Growth เพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันระยะยาว

เอสซีจี เคมิคอลส์ ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ 39% ของรายได้รวมเอสซีจี จึงจำเป็นต้องเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลกอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวน ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบอยู่ในระดับสูง ธุรกิจจึงเตรียมแผนเพิ่มศักยภาพโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) ให้มีความยืนหยุ่นด้านต้นทุนการผลิตมากขึ้น

เพิ่มสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติอีเทนเป็นวัตถุดิบเพิ่มเติมจากการใช้แนฟทา และก๊าซธรรมชาติโพรเพน เนื่องจากราคาเฉลี่ยอีเทนต่ำกว่า 40% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยราคาของแนฟทาและโพรเพนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การปรับเพิ่มการใช้ก๊าซอีเทนยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และลดการเกิดผลิตภัณฑ์พลอยได้

การเสริมแกร่งครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดจุดแข็งของ LSP รองรับการผลิตนวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก SCGC GREEN POLYMERTM  ในอนาคต คาดการณ์ใช้ระยะเวลาก่อสร้างไม่เกิน 3 ปี เพื่อเดินหน้าการผลิตโอเลฟินส์ และพอลิโอเลฟินส์ อย่างพอลิเอทิลีน และพอลิโพรพิลีน ตอบโจทย์ความต้องการพลาสติกสำหรับผลิตสินค้าอุปโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันในตลาดเวียดนาม ซึ่งมีความต้องการสูง ภายใต้การบริหารต้นทุนที่เหมาะสม ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ LSP จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2567

เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน เอสซีจีสามารถส่งออกปูนคาร์บอนต่ำไปสหรัฐอเมริกาได้แล้วมากกว่า 1 ล้านตัน รวมทั้งยังสามารถขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ ทั้งในอาเซียน ออสเตรเลีย และแคนาดา จึงเร่งผลักดันด้านการวิจัยและพัฒนาต่อเนื่อง ปัจจุบันกำลังพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชั่น 3 ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มสัดส่วนการทดแทนปูนเม็ดในการผลิต ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 40%-50% เมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์ประเภทเดิม เพื่อตอบสนองความต้องการปูนคาร์บอนต่ำที่เพิ่มขึ้น

ADVERTISMENT

เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า สินค้าหลักอย่างกลุ่มวัสดุก่อสร้างจะมุ่งพัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำมากขึ้น พร้อมมีดีไซน์สวยและแข็งแรงทนทาน นอกจากนี้มีแผนใช้ปัญญาประดิษฐ์ออกแบบผลิตภัณฑ์ เพิ่มความรวดเร็วและปรับได้ตามความต้องการลูกค้า ควบคู่กับพัฒนากระบวนการผลิต เพิ่มหุ่นยนต์ เพื่อลดของเสีย

พร้อมบริหารต้นทุนให้แข่งขันได้กับผู้เล่นรายใหม่ ๆ เช่น จีน และเตรียมขยายตลาดวัสดุก่อสร้างไปยังตลาดอินเดีย และตะวันออกกลางซึ่งเติบโตสูงมากขึ้น นอกจากนี้ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนสินค้างานระบบ ตอบโจทย์การก่อสร้างเร็วและใช้งานดีขึ้น โดยเฉพาะระบบผนังที่มีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ช่วยกันร้อนและกันเสียง รวมไปถึงระบบหลังคา ดีไซน์หลากหลาย ปรับได้ตามความต้องการและแบบบ้าน พร้อมฟังก์ชั่นกันร้อน และช่วยประหยัดพลังงาน

ADVERTISMENT

เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล ใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มและ AI ยกระดับระบบจัดจำหน่ายสินค้าให้ลูกค้าและคู่ค้าเข้าถึงสะดวกขึ้น ช่วยลดระยะเวลาการเก็บสินค้าคงคลัง และสามารถคาดการณ์ความต้องการสินค้าในอนาคต ช่วยให้ธุรกิจแข่งขันได้ดียิ่งขึ้นภายใต้ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขยายการก่อสร้างและที่อยู่อาศัยรักษ์โลกสู่ตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง อาทิ นำเสนอคอนกรีตผสมแบบพร้อมใช้ CPAC Ready Mix และ CPAC 3D Printing Solution เข้าสู่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการก่อสร้าง ลดของเสียหน้างาน 

เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ เดินหน้าธุรกิจ New S-Curve สู่อาเซียน ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มุ่งสู่เป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 3,500 เมกะวัตต์ในปี 2573 ด้วยจุดแข็งด้านนวัตกรรมและโซลูชั่นพลังงานสะอาดครบวงจรระดับโลก ทั้งระบบบริหารจัดการ การผลิต การจัดเก็บ และจำหน่ายไฟฟ้าจากแพลตฟอร์มพลังงานสะอาด Smart Micro Grid ตลอดจน แบตเตอรี่กักเก็บพลังงานความร้อนจากพลังงานสะอาด (Heat Battery) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างยูนิตแรกของโลกสำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ จ.สระบุรี

นายธรรมศักดิ์ เสริมถึงทิศทางติดปีกธุรกิจต่อไปว่า เอสซีจีกำลังเร่งขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยี นำ AI มาขับเคลื่อนธุรกิจทุกมิติ สนับสนุนให้พนักงานทุกคนทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างเข้าใจ ทำจริง และขยายผลต่อยอด เพื่อปูทางสู่ศักยภาพธุรกิจระยะยาว วันนี้มีหลายโครงการเริ่มเดินหน้าและอยู่ในแผนพัฒนา เช่น การดึง AI เป็นเพื่อนคู่คิดลูกค้าช้อปปิ้งเรื่องบ้านโดนใจ หรือ AI ดูแลเครื่องจักรและซ่อมบำรุงเพื่อการทำงานอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

สระบุรีแซนด์บอกซ์ เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทยเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5 ด้าน

1) เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด​จากศักยภาพพื้นที่​และสายส่ง​ด้วยระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ

2) มุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ผลิตสินค้ารักษ์โลกและคาร์บอนต่ำ

3) สร้างมูลค่าเพิ่มจากของเหลือใช้

4) การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ลดใช้น้ำ ลดคาร์บอน

5) เพิ่มพื้นที่สีเขียว ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ พร้อมทั้งหาทุนสีเขียวจากต่างประเทศมาพัฒนานวัตกรรมคาร์บอนต่ำ อาทิ เทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) เพื่อมุ่งสร้างเศรษฐกิจเติบโตแบบโลว์คาร์บอน

ตั้งเป้าปี 2573 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจังหวัดสระบุรี 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หนุนอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์บรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593​

“เอสซีจี ติดตามสถานการณ์ไทยและโลกทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ ภูมิศาสตร์ สังคม สิ่งแวดล้อม เพราะต่างส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันยังนำมาวิเคราะห์ล่วงหน้า จัดทำแผนที่เหมาะสมกับแต่ละจังหวะ และนำมาใช้ปรับตัวอย่างทันท่วงทีให้ธุรกิจดำเนินต่อเนื่องและมั่นคง นอกจากจะสร้างความสามารถทางการแข่งขันที่เข้มแข็งทั้งในระยะสั้น-กลาง-ยาว ยังรักษาเสถียรภาพทางการเงิน พร้อมขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง ตอบทุกโอกาสและความท้าทายที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง” กรรมการผู้จัดการใหญ่ สรุปปิดท้าย