ครั้งแรกในไทย ‘คาร์เทียร์ CWI’ หนุนผู้ประกอบการหญิงให้ยั่งยืน

นับเป็นครั้งแรกของคาร์เทียร์ (Cartier) แบรนด์ไฮเอนด์หรูระดับโลกที่เปิดหลักสูตรในไทยแบบไม่มีค่าใช้จ่าย “Cartier Women’s Initiative Entrepreneurial Program” หรือ CWI โดยร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

CWI เป็นโครงการอบรม ต่อยอด นักธุรกิจจากคาเทียร์ เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีคุณภาพ ริเริ่มมาจากความต้องการสร้างอิมแพ็กต์แก่ผู้ประกอบการหญิง โดยมีเครือข่าย 700 คนทั่วโลก เป็นคอมมิวนิตี้ระดับนานาชาติตามเป้าหมาย SDGs

พรปรียา วิวัฒนชาต
พรปรียา วิวัฒนชาต

“พรปรียา วิวัฒนชาต” กรรมการผู้จัดการ คาร์เทียร์ ประเทศไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การส่งเสริมสังคมด้วยการแบ่งปันความรู้เป็นวิธีการที่ยั่งยืนที่สุด สอนคนให้ตกปลาย่อมดีกว่าการนำปลาไปให้ การพัฒนาผู้ประกอบการเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของคาร์เทียร์ที่มีมานานกว่า 19 ปี เพื่อสนับสนุนความเท่าเทียมและเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการให้มีความรู้ถึงขีดสุด

“โครงการนี้ไม่ใช่มูลนิธิ แต่เน้นสนับสนุนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่นำเสนอโซลูชั่นตอบโจทย์ SDGs อย่างน้อย 1 ข้อ นอกจากต้องสร้างรายได้และมีกำไร จึงจะสามารถดำเนินธุรกิจระยะยาวได้ยั่งยืน”

สิพิม สุกัณศิล
สิพิม สุกัณศิล

โอกาสของผู้ประกอบการไทย

“สิพิม สุกัณศิล” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร คาร์เทียร์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการสามารถต่อยอดองค์ความรู้ ทักษะ ที่สามารถใช้ได้จริงจากผู้ประกอบการภาคเอกชน และสามารถปรึกษาในปัญหาทางธุรกิจ เมื่อเข้าร่วมอบรมครบ 6 ครั้ง จะได้รับการโปรโมตธุรกิจในระดับประเทศ

ผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์และสนใจสมัครแข่งขัน Cartier Women’s Initiative Awards จะได้รับการแนะแนว และช่วยเหลือในการส่งใบสมัคร เพื่อขยายโอกาสธุรกิจและเครือข่ายนานาชาติ

ADVERTISMENT

ขณะนี้หลักสูตรอบรม CWI Entrepreneurial Program เปิดรับสมัครถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 จะประกาศผลผู้มีสิทธิ 40 ท่าน วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 เริ่มเรียนวันที่ 22 กุมภาพันธ์-29 มีนาคม 2568

ความร่วมมือครั้งใหญ่ของจุฬาฯ

ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) การศึกษาคือสิ่งสำคัญที่สุดในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การที่แบรนด์หนึ่งคงอยู่บนโลกได้เป็นวลานานต้องมีความยั่งยืน ดังนั้น ธุรกิจไม่ใช่แค่เรื่องกำไร แต่ต้องตอบโจทย์สังคมด้วย

ADVERTISMENT

“คำว่า Luxury ไม่ได้หมายถึงความหรูหราด้านสินค้า แต่เป็นความหรูหราแบบตอบโจทย์สังคม วันนี้เรามาเริ่มต้นให้ผู้ประกอบการสตรีไทยลุกขึ้นมาสร้างอะไรใหม่ ๆ สร้างธุรกิจตัวเอง สร้างสังคม สร้างประโยชน์แก่ประเทศ”

ความร่วมมือกับคาร์เทียร์ครั้งนี้ สะท้อนคุณค่าองค์กรที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน โดยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมความยั่งยืน ตามพันธกิจของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ศ.ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ รองอธิการบดี ด้านวิชาการและการเชื่อมโยงกับสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสริมว่า C แรก คือ Chula, C ที่สอง คือ Cartier เมื่อ 2 Cs (Double C) มารวมกัน จึงเป็น C-Change การเปลี่ยนแปลง นับเป็นครั้งแรกของการพัฒนาหลักสูตรอบรม CWI เพื่อสังคม

โดยผู้อบรมจะเป็นคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิทยากรชื่อดังในภาคธุรกิจ ในรูปแบบเชิงปฏิบัติการ พัฒนาทักษะการบริหารงานและธุรกิจเพื่อสังคม ที่มีผลกำไรแบบยั่งยืน

แนวโน้มธุรกิจเพื่อสังคม

“กรองกมล เดอเลออน” รองประธาน บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล และคณะกรรมการตัดสินรางวัล Cartier Women’s Initiative Award ปี 2024 ได้แบ่งปันมุมมองว่า ในฐานะตัวแทนองค์กรที่ดูแลในเรื่องของการจัดตั้งกองทุน Beacon Impact Fund และคลุกคลีกับนักลงทุนนั้น ยอมรับว่าธุรกิจเพื่อสังคมได้รับความสนใจมากขึ้น ไม่เฉพาะการสนับสนุนจากภาครัฐเท่านั้น ภาคเอกชนก็ให้การสนับสนุน

คนยุคปัจจุบันยังให้ความสนใจกับการเลือกใช้สินค้าและบริการที่ส่งเสริมการแก้ปัญหาสังคม มองว่าโอกาสของธุรกิจกลุ่มนี้อยู่ที่การทำให้เป็นรูปธรรมเชิงบวก

“ตัวธุรกิจต้องมีความแตกต่าง โดดเด่น ให้โซลูชั่นในการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมได้จริง เพื่อให้นักลงทุนและผู้สนับสนุนเห็นสิ่งที่ทำได้และเป็นไปได้”

“ภัทรพร สาลีรัฐวิภาค” ผู้ก่อตั้ง Homeland Cafe & Grocer ตัวแทนผู้ประกอบการที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ก่อนเริ่มทำธุรกิจ ณัฐมีความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคมอยู่แล้ว รู้สึกว่าปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของภาครัฐ หรือหน่วยงาน NGO แต่เป็นเรื่องของทุกคนที่จะมีส่วนร่วม

หลังจากได้ทำงานให้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่สนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อสังคมในต่างประเทศ เมื่อกลับมาไทยซึ่งเป็นบ้านเกิดก็มองหา ระบบอาหารยังเป็นเรื่องที่เราพัฒนาปรับปรุงได้ สมัยเด็ก ๆ เราจำคำพูดที่ว่า “ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ” แต่การส่งเสริมเกษตรกรกลับดูน้อยลง

เรายังมีช่องว่างที่จะเติมเต็มได้ ความท้าทายคือการทำให้คนเข้าใจในเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ลูกค้า พาร์ตเนอร์ และสังคมเท่านั้น แต่รวมถึงพนักงาน การทำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องตระหนักรู้จะช่วยให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญ