
ชาติศิริ โสภณพนิช เผยวิธีการเติบโตท่ามกลางความโกลาหล ในยุคที่โลกอยู่ในช่วงที่ถูกรบกวนครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีและนวัตกรรม การสั่นคลอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ และการย้ายฐานห่วงโซ่อุปทานและการทวนกระแสโลกาภิวัตน์
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการเติบโตท่ามกลางความโกลาหล ในงานครบรอบ 11 ปี นิตยสาร Elite Plus ว่า ไม่มีลูกแก้ววิเศษที่สามารถทำนายอนาคตได้ วิธีที่ง่ายที่สุดและหวังว่าจะมีเหตุผลที่สุดคือการกำหนดความหมายของคำว่า “ความโกลาหล” ก่อน จากนั้นค่อยสำรวจวิธีที่จะรับมือกับสิ่งนี้
โดยตัวแปร 4 ประการ ที่ก่อให้เกิดความโกลาหล และกำลังกำหนดวิธีการดำเนินชีวิต ทำงาน-ค้าขาย ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change), เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology and Innovation), การสั่นคลอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ (Geopolitical / Geo-economic Shocks) และการย้ายฐานห่วงโซ่อุปทานและการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Supply Chain Relocation & Deglobalization)
“เราต้องเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านี้เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อตอบสนองต่อแรงกระแทกในอนาคต และที่สำคัญกว่านั้นคือ การสร้างโอกาสใหม่ ๆ”
จุดเปลี่ยนผ่านสู่สังคมที่ยั่งยืน
นายชาติศิริ กล่าวถึงการแปลงสู่ดิจิทัลว่า ได้เปลี่ยนวิธีที่ดำรงชีวิต ทำงาน ทำธุรกิจ และค้าขาย ซึ่งการมาของอินเทอร์เน็ต สมาร์ทโฟน และเทคโนโลยีอื่น ๆ ได้เปลี่ยนแปลงหลายสิ่งที่เราทำ เช่น Disruption ที่มาจาก AI สำหรับธนาคารกรุงเทพ ได้พยายามที่จะเข้าใจและคาดการณ์แนวโน้มต่าง ๆ และอยู่ใกล้ชิดกับลูกค้าอยู่เสมอ เรียนรู้จากลูกค้าและให้คำแนะนำ สร้างเครือข่าย และปกป้องและพัฒนาการเงินให้มีความมั่นคง
“หากเราต้องการที่จะเจริญรุ่งเรือง (Thrive) ท่ามกลางความปั่นป่วนอย่างแท้จริง เราก็ต้องตื่นตัว พร้อมรับมือ เปิดใจ และยอมรับการปรับตัว”
โดยมองว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ วิธีที่ตัดสินใจตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กฎระเบียบ ESG ที่เปลี่ยนแปลง จะเป็นตัวกำหนดอนาคต
ประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่ รวมถึงประเทศไทย ได้กำหนดเป้าหมายสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) การบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ภายใต้กฎระเบียบ ESG ที่เข้มงวดมากขึ้น จะต้องอาศัยการลงทุนอย่างมากและความร่วมมือในระดับภูมิภาค ระดับประเทศ และระดับธุรกิจ
การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่ยั่งยืนมากจะส่งผลต่อหลายด้านของชีวิต รวมถึงพลังงาน ผลิตภัณฑ์-บริการ และวิธีที่ใช้พลังงาน โดยจะได้เห็นการค้นพบและการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ การเกิดขึ้นของระบบนิเวศสีเขียว เช่น เมืองอัจฉริยะ และการสร้างอาชีพใหม่ในภาคเศรษฐกิจสีเขียวหรือสีน้ำเงิน
การนำเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงโลก เช่น AI เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) และ AI เชิงปฏิบัติการ (Agentic AI) มาใช้ กำลังสร้างโอกาสใหม่ ๆ โควิดได้เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะในด้านโลจิสติกส์ ระบบอัตโนมัติ การทำงานทางไกล อีคอมเมิร์ซ และการธนาคาร ในช่วงไม่นานมานี้ เทคโนโลยี AI เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานและการดำเนินธุรกิจอีกมากมาย รวมไปถึงสร้างโอกาสใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็กำลังสร้างทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ ไม่เพียงต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากสภาพอากาศภายในประเทศ แต่บริษัทต่าง ๆ จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎระเบียบ ESG ใหม่ในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ
จะมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ ฝ่ายที่คุณจะอยู่ขึ้นอยู่กับว่าคุณเตรียมตัวได้ดีแค่ไหน นวัตกรรมและความสามารถในการปรับตัวคือกุญแจสำคัญ ซึ่งต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้ไม่ดีนัก ความท้าทายเชิงโครงสร้าง เช่น สังคมสูงวัย กับดักรายได้ปานกลาง ต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น และคุณภาพการศึกษาและทักษะที่ต่ำ อาจทำให้เราเสียเปรียบเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค เช่น เวียดนาม
คาดเศรษฐกิจผันผวนจากนโยบายทรัมป์
ความขัดแย้ง ภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจภูมิภาค กำลังมีความผันผวนและส่งผลกระทบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นว่าเหตุการณ์อย่างสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง สามารถส่งผลกระทบในวงกว้าง
ซีอีโอแบงก์กรุงเทพ คาดว่าจะเกิดความผันผวนและการชะลอของการเติบโตเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นจากการดำเนินการนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีการเก็บภาษี 25% กับสินค้าบางรายการจากจีน ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจจีน แต่ก็ทำให้ห่วงโซ่อุปทานย้ายไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงเวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศไทย
สงครามการค้าในยุคทรัมป์ กำลังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจไทยเช่นกัน ซึ่งเริ่มเห็นความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย Recession เพิ่มขึ้นถึง 50% หากเกิด Recession จะส่งผลกระทบทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
“เรายังต้องจับตามองปฏิกิริยาของจีนด้วย เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของจีน ซึ่งอาจส่งผลดีหรือร้ายต่อเศรษฐกิจของเรา”
เพื่อแข่งขันได้ ประเทศไทยจะต้องต่อยอดจุดแข็งของตนเองและเสริมจุดอ่อน เช่น การพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ พร้อมกับเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้า และต้องลงทุนอย่างสร้างสรรค์ ทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค เช่น การลงทุนในสตาร์ตอัพระยะเริ่มต้นในต่างประเทศ ทั้งประเทศไทยและอาเซียนต้องสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นและแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากสิ่งนี้เป็นกุญแจสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขัน
“เรายังอาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มที่จะเกิดกำแพงภาษีการค้าซึ่งเราคาดว่าจะเกิดขึ้นในยุคทรัมป์”
ขณะนี้อาเซียนกำลังอยู่บนเส้นทางที่จะกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกภายในปี 2030 เนื่องจากภูมิศาสตร์เรามีความใกล้กับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของเอเชียอย่างจีนและอินเดีย ทำให้อาเซียนกลายเป็นจุดหมายที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นสำหรับนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในภูมิภาคเพิ่มขึ้นจาก 5% เมื่อสิบปีก่อน เป็น 17% ในปี 2023 เราจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้
อุตสาหกรรมสีเขียวเป็นไปในทิศทางบวก
สำหรับประเทศไทย ได้เห็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของคำขอยื่นขอส่งเสริมการลงทุนต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รวมถึงบริษัทที่ย้ายฐานการผลิตเพื่อกระจายห่วงโซ่อุปทานสู่อุตสาหกรรมชีวภาพและอุตสาหกรรมสีเขียว รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่และการผลิตชิ้นส่วน ตลอดจนศูนย์ธุรกิจระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมดิจิทัล เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง มีมากกว่า 3,100 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท แนวโน้มเชิงบวกนี้ยังคงดำเนินต่อไปในปีนี้
โดยในไตรมาสแรก มูลค่าคำขอส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยมีมูลค่า 4.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้รับแรงหนุนจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงการเพิ่มขึ้นห้าเท่าในคำขอจากอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากต่างประเทศในศูนย์ข้อมูล (Data Centers)
ในภาคส่วนของธนาคาร กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้ง 4 ประการนี้ และต้องเผชิญกับทั้งความท้าทายและโอกาสที่ตามมา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จึงต้องเปลี่ยนแปลงธุรกิจเองและรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและนวัตกรรม
“ในฐานะธนาคาร เราโชคดีที่สามารถมองเห็นภาพรวมของโอกาสและความท้าทายที่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายของเราต้องเผชิญ ตั้งแต่บรรษัทข้ามชาติและธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ ไปจนถึงผู้ประกอบการรายย่อย (Micro-SMEs) และลูกค้ารายบุคคล”
แม้ว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ยังคงหลั่งไหลเข้ามาต่อเนื่อง ภาครัฐยังคงมีความจำเป็นต้องพิจารณานโยบายภาครัฐที่เหมาะสมเพื่อช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมและเศรษฐกิจของเรา ให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบราง และด้านอื่น ๆ เช่น การผลิตและกระจายพลังงาน เป็นต้น
เติบโตอย่างไรท่ามกลางความโกลาหล
ท้ายนี้ นายชาติศิริ เผยมุมมองว่า ความสำเร็จส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วย “วิธีคิด” และ “หลักการ” โดยเสนอ 6 ข้อเสนอเป็นรากฐานที่มั่นคงให้สามารถเผชิญอนาคตด้วยความมั่นใจ
- ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงคือสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง (Accept that change is the only constant)
- จงมีความสามารถในการปรับตัว (Be adaptable.)
- เรียนรู้บทเรียนจากอดีต (Learn lessons from the past)
- จงยอมปล่อยอดีตไป (Be willing to let go of the past.)
- จงรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณ “ไม่รู้” (Know what you don’t know.)
- และอาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด : อย่าลืมว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว (You are not alone.)