KCAR กลยุทธ์องค์กรสมดุล ตอบโจทย์ความคาดหวังพนักงาน

บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ KCAR ทำธุรกิจบริการรถเช่าและจำหน่ายรถมือสองแบบครบวงจร ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่ยาวนานกว่า 30 ปี โดยหลักการคือซื้อรถใหม่มาปล่อยเช่า และนำรถที่หมดอายุสัญญาเช่ามาจำหน่ายเป็นมือสอง ให้บริการแก่ลูกค้าประเภทองค์กร ตลอดจนลูกค้าบุคคลทั่วไป

ด้วยความเชี่ยวชาญและระบบการจัดการที่ดี ทำให้ KCAR กลายมาเป็นกลุ่มยานยนต์ชั้นนำของประเทศ และได้รับการประกาศคงอันดับทริสเรทติ้งที่ระดับ A- ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจให้เช่ารถยนต์ในประเทศไทย

อันสะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และผลการบริหารบุคลากรที่น่าพอใจ เน้นพัฒนาองค์กรและทีมงานอย่างต่อเนื่อง ให้ความสำคัญกับการบริหารพนักงานกลุ่ม GEN ต่าง ๆ ให้ผสมผสานในองค์กร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด

“พิชิต จันทรเสรีกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงไทย คาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า KCAR คือหนึ่งในผู้เล่น Top10 ของตลาดรถเช่าเมืองไทยที่มีความมั่นคงทางการเงินสูงและมีผลกำไรโตอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน KCAR ดำเนิน 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจรถเช่าและธุรกิจขายรถมือสอง ซึ่งเกิดจากการพัฒนาโมเดลธุรกิจให้เอื้อประโยชน์กัน โดยช่วงแรกบริษัทมีเพียงธุรกิจรถเช่า KCAR ต่อมาจึงตั้งธุรกิจรองรับการขายรถมือสองสภาพดีที่หมดสัญญาเช่าจากลูกค้าในชื่อ Toyota Sure Krungthai

ปัจจุบันธุรกิจรถเช่า KCAR มีพอร์ตรถยนต์มากกว่า 9,000 คัน และฐานลูกค้ามากกว่า 1,200 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้า Operating Lease เช่าระยะยาว 1-5 ปี แบ่งเป็นหน่วยงานราชการ 15% และองค์กรเอกชน 85% ซึ่งสิ่งที่มัดใจลูกค้าคือการมีศูนย์บริการมากกว่า 1,500 แห่งทั่วประเทศ

เป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของ KCAR ไม่ใช่การมุ่งสู่การเป็นผู้เล่นเบอร์หนึ่งในด้านยอดขาย แต่เน้นการเติบโตขององค์กรที่มั่นคง ผ่านการบริหารต้นทุนและความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง เพื่อให้องค์กรอยู่ได้แม้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ผสานกับการยกระดับบริการและความเชี่ยวชาญของทีมงานอยู่เสมอ

“สิ่งที่ผมเน้นย้ำมากที่สุดคือ การฝึกอบรมพนักงานให้มีความซื่อสัตย์ จริงใจกับลูกค้า พร้อมให้คำแนะนำแบบรอบด้าน ถึงแม้ในบางครั้งคำแนะนำนั้นอาจทำให้บริษัทได้ยอดขายลดลง เช่น การขอให้ลูกค้าที่ต้องการเช่ารถยนต์ที่กำลังจะเปลี่ยนรุ่น ให้ชะลอการซื้อออกไปก่อน เพื่อรอรถรุ่นใหม่ที่กำลังจะมาถึง

ซึ่งจะตอบโจทย์การใช้งานลูกค้าได้มากกว่า แทนที่จะพยายามปิดการขายรถรุ่นที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อทำยอดก่อนเรื่องอื่น สิ่งเหล่านี้ทำให้บริษัทได้รับความเชื่อใจและความประทับใจจากลูกค้าให้กลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังช่วยบอกต่อบริการของ KCAR ไปยังกลุ่มคนรู้จัก”

“พิชิต” กล่าวด้วยว่า ทั้งกลุ่มบริษัทมีพนักงานจำนวนประมาณ 1,700 คน สำหรับ KCAR และ Sure ส่วนใหญ่เป็น Gen Y และ X สัดส่วน Gen Y 70% และ Gen X 30% ส่วน Gen Z ยังไม่มาก คือประมาณ 5% แต่อยู่ในระหว่างเพิ่มสัดส่วนให้องค์กรมีความสมดุล ให้มีความทันสมัยมากขึ้น

“เราเน้นการบริหารพนักงานกลุ่ม GEN ต่าง ๆ ให้ผสมผสานในองค์กร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ตั้งแต่การคัดสรรพนักงานที่ใช่ โดยเป็นคนที่มีไมนด์เซต และทัศนคติที่ดี องค์กรให้ความสำคัญกับการบริหารความคาดหวังของแต่ละ GEN จึงเน้นการสื่อสารที่ชัดเจน

การให้ความสำคัญ การดูแลพนักงานอย่างยุติธรรมและทั่วถึง รวมถึงพัฒนาพนักงาน Reskill และ Upskill ให้กว้างขึ้น และลึกขึ้น ทำให้พนักงานรู้ว่ามีโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต ซึ่งการให้โอกาสพนักงานในการแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ทำให้พนักงานมีความภูมิใจ”

KCAR พยายามเข้าใจสิ่งที่คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันอยากได้จากองค์กร และพบว่าค่าตอบแทนที่ยุติธรรม เหมาะสมกับความสามารถ การได้พัฒนาเรียนรู้ และเห็นโอกาสการเติบโต คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการ เรามีแผนการพัฒนาในแต่ละตำแหน่ง

ตั้งแต่ GM ผู้จัดการ ผู้ช่วย หัวหน้า เจ้าหน้าที่ แต่ละช่วงอายุงานอย่างชัดเจน นอกจากนั้น มีระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) สร้างโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้ผ่านระบบ KM โดยเข้าใช้งานง่าย

“ผมดูแลและให้ความสนใจกับความคาดหวังของพนักงาน และนี่คือกลยุทธ์สำคัญในการดึงดูดคนให้อยู่กับองค์กร นอกจากนั้น ต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจน และให้พนักงานเข้าถึงผู้บริหารง่าย และเป็นการสื่อสาร 2 ทาง รับฟังและใส่ใจในไอเดีย และเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความสามารถเต็มที่”

สำหรับวัฒนธรรมองค์กรของ KCAR เราวางแนวทางให้หัวหน้างานหรือผู้จัดการมีการดูแล ใส่ใจ พัฒนา รับฟังความคิดเห็นลูกน้องทุกคน บริษัทมีการอบรมเรื่องการบริหารคน ตั้งแต่ระดับหัวหน้างาน รวมถึงพนักงานที่กำลังได้รับการโปรโมตเป็นหัวหน้างาน มี Exit interview เพื่อรับทราบปัญหา หรือสาเหตุที่ลาออก เพื่อมาแก้ไข

ส่วนทักษะที่คิดว่าจำเป็นสำหรับองค์กร KCAR มองหาคนที่มีทักษะด้านเทคโนโลยี สามารถวิเคราะห์ แก้ปัญหาเชิงลึก คิดเชื่อมโยง และมีความคิดสร้างสรรค์ เพื่อมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ นำมาสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้

“พิชิต” กล่าวในตอนท้ายว่า แม้โมเดลธุรกิจจะดูเป็นโครงสร้างการเงินที่ซื้อทรัพย์สินมาบริหารและขายต่อ แต่อยากเน้นย้ำว่า ทั้งหมดทั้ง KCAR และ Toyota Sure Krungthai คือธุรกิจบริการ ซึ่งเกิดจากวิสัยทัศน์ Service and Quality Excellence และกลยุทธ์ OPTIMUM

กลยุทธ์ OPTIMUM ถือเป็นแนวคิดหลักในการดำเนินธุรกิจรถเช่าของ KCAR ซึ่งให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์ 4 ด้านอย่างรอบคอบ และมอบประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเป็นแนวคิดที่ใช้ได้กับทุก ๆ สถานการณ์ โดยเฉพาะสภาพธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ โดยกลยุทธ์ OPTIMUM แบ่งเป็น 4 ด้านหลัก ๆ ได้แก่

หนึ่ง การบริหารความเสี่ยง อาทิ ราคาคงเหลือของรถยนต์เมื่อครบสัญญาเช่า การดูแลหนี้เสีย (NPL) ให้อยู่ในปริมาณน้อยที่สุด การบริหารกระแสเงินสด รวมถึงความเสี่ยงของฟลีต เช่น การเลือกยี่ห้อรถยนต์ที่หลากหลาย ไปจนถึงการเลือกสีที่เป็นที่นิยม เป็นต้น

สอง การบริหารต้นทุน ซึ่งครอบคลุมถึงการดูแลค่าเสื่อมราคาให้อยู่ในเกณฑ์ต่ำ และการเพิ่มธุรกิจขายรถมือสอง เพื่อรถที่ครบสัญญาเช่ามาสร้างรายได้ และแนวทางการบริหารต้นทุนอย่างคุ้มค่าอื่น ๆ

สาม บริการที่จริงใจ ดีกว่า และแตกต่าง บริษัทมองว่าธุรกิจรถเช่าเป็นงานบริการ พนักงานจึงต้องยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อมอบบริการที่ซื่อสัตย์และครบวงจร โดยพนักงานจะได้รับการฝึกอบรมให้มีทั้งความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความซื่อสัตย์จริงใจในการให้คำแนะนำ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด โดยคำนึงถึงเรื่องกำไรเป็นเรื่องรอง

สี่ การกำหนดราคาที่ยืดหยุ่น ครอบคลุมทั้งการเสนอราคาที่ Premium แต่มอบความคุ้มค่าด้วยคุณภาพของบริการที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน จนมัดใจลูกค้าเก่าได้มาอย่างยาวนาน หรือการกำหนดราคาที่แข่งขันได้สำหรับประมูลงานของหน่วยงานต่าง ๆ และการเสนอเรตราคาพิเศษในช่วงการทดลองใช้บริการเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ เป็นต้น

นี่อาจเป็นอีกด้านของนิยามกลยุทธ์การบริหารแบบ OPTIMUM ที่ทำให้ KCAR เป็นผู้ประกอบการที่แตกต่างในตลาดรถเช่าเมืองไทย โดยคำนึงถึงการบริหารพนักงานกลุ่ม GEN ต่าง ๆ ให้ผสมผสานในองค์กร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด