
อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย (Initiative Thailand) ถือเป็นบริษัทมีเดียเอเยนซี่ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2564 ที่ผ่านมาสามารถครองแชมป์จากรายงานการจัดอันดับของบริษัทวิจัยประเมินผลธุรกิจ และการให้บริการของมีเดียเอเยนซี่ จากสถาบัน RECMA ปี 2564 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
โดยเป็นเพียงเอเยนซี่เดียวที่ได้คะแนนระดับ Dominant สูงสุด 4 ปีซ้อน จากทั้งหมด 13 มีเดียเอเยนซี่ระดับโลกที่ถูกวัดผลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี จนขึ้นแท่นเป็นมีเดียเอเยนซี่คุณภาพอันดับ 1 ของประเทศไทย
“ดร.สร เกียรติคณารัตน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินิชิเอทีฟ และ บีพีเอ็น ประเทศไทย กล่าวว่า เราเป็นมีเดียเอเยนซี่ที่เน้นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์ และผู้บริโภค โดยทำงานผ่านกลยุทธ์สำคัญ คือ Cultural VelocityTM ซึ่งหมายถึงความรวดเร็วในการเข้าถึงวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง และมีคุณค่าอย่างโดนใจ พร้อมสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ได้อย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อว่าแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจะต้องให้ความสำคัญ และเข้าใจวัฒนธรรมการใช้ชีวิต หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยแบรนด์ต้องเข้ามามีบทบาท มีส่วนร่วม และมีคุณค่าต่อการใช้ชีวิตของผู้บริโภคอย่างแตกต่างและลงตัว สำหรับอินิชิเอทีฟ มี 5 เทคนิควิธีที่ใช้ในการสร้างสรรค์ไอเดียภายใต้แนวทางให้กับแบรนด์ คือ
หนึ่ง Cultural Proximity : สร้างแบรนด์ให้โดนใจกับคนหลากหลายกลุ่ม โดยนำเสนอผ่านความเข้าใจ พร้อมปรับตัวไปกับวัฒนธรรมย่อย และพฤติกรรมการบริโภคที่แตกต่างหลากหลายของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม เพื่อชนะใจผู้คนเฉพาะกลุ่มผ่านการใช้ดาต้าที่เจาะลึกถึงระดับวัฒนธรรมชายขอบ
สอง Cultural Spotlights : หยิบยกประเด็นที่สังคมมักมองข้าม เพื่อขึ้นมาเป็นประเด็นที่ทุกคนต้องใส่ใจ และเห็นความสำคัญไปพร้อม ๆ กับการสะท้อนคุณค่าและบทบาทของแบรนด์
สาม Cultural Agitation : สร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ด้วยการท้าทายบรรทัดฐานเดิม ๆ สร้างประเด็นทางสังคม ชวนผู้บริโภคเลือกข้างไปกับแบรนด์ พร้อมประกาศจุดยืน และเหตุผลของแบรนด์ในการเลือกข้างต่อประเด็นดังกล่าว
สี่ Cultural Collisions : จับวางแบรนด์คู่ต่าง ขั้วตรงข้าม มาสร้างเป็นความแปลกใหม่ที่ลงตัว ได้แบบเกินความคาดหมาย
ห้า Cultural Contributors : แบ่งปันทรัพยากรต่าง ๆ ที่แบรนด์มี พร้อมเชิญชวนผู้คนในสังคมให้มาร่วมไปกับแบรนด์ ในการยกระดับ หรือสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในด้านใดด้านหนึ่งให้กับสังคม
“ดังจะเห็นว่าเทคนิคการสร้างสรรค์ไอเดียเหล่านี้ ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับสังคมทั้งสิ้น เพราะเรามองว่าการเข้าใจสังคม จะทำให้การดำเนินงานของเรา และพันธมิตร ลูกค้า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน”
“ดร.สร” กล่าวต่อว่า อินิชิเอทีฟทั่วโลก หรือในเครือมีเดียแบรนด์เอง ค่อนข้างให้ความสำคัญกับภารกิจเพื่อสังคม อย่างปีที่ผ่านมา เราชวนเพื่อน ๆ พนักงาน และพาร์ตเนอร์อย่าง Plan B Media, PINN SHOP รวมถึง “คุณท็อป” (พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร) มาร่วมจัดกิจกรรม “Initiative Blue Day : โครงการป้ายต่อความสุข” เพื่อช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อม ณ ชุมชนเฟื่องฟ้าพัฒนา ผ่านการประยุกต์ (upcycle) ป้ายโฆษณาที่ไม่ได้ใช้แล้วมาบูรณะสถานที่อยู่อาศัย พร้อมอบรมการเย็บกระเป๋าจากป้ายโฆษณาไวนิลเพื่อสร้างรายได้ในชุมชน
กิจกรรมทั้งหมดมีเป้าหมายที่จะยกระดับสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นการนำองค์ความรู้พร้อมความคิดสร้างสรรค์ไปมอบแก่ชุมชนเพื่อเสริมสร้างอาชีพให้แก่ผู้อยู่อาศัยในชุมชน และปัจจัยสำคัญที่สุดคือการสร้างรายที่มั่นคงได้จากขยะป้ายโฆษณาที่ไม่ได้ใช้แล้วให้ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน, ด้านสิ่งแวดล้อมตามพันธกิจของบริษัทอีกด้วย
“จุดเริ่มต้นโครงการ เราเห็นว่าทาง Plan B Media เขาทำธุรกิจป้ายโฆษณา ซึ่งวัสดุที่เขาใช้ทำส่วนใหญ่เป็นไวนิล เมื่อถึงเวลาเก็บ เขาจะนำไปเก็บไว้ในโกดัง หรือไม่ก็ทำลาย โดยไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อ ทั้ง ๆ ที่อายุการใช้งานของไวนิลจริง ๆ ทนทานอยู่ถึง 5 ปี มีบ้างที่เอาไปบริจาค ให้คนหรือหน่วยงานอื่น ๆ นำไปใช้ทำประโยชน์
ด้วยเหตุนี้ เราจึงมองว่าควรนำเอาป้ายไวนิลนั้นมาทำให้เกิดประโยชน์มากขึ้น เราอยากให้มีการนำเอาไปอัพไซเคิล แต่ต้องเป็นการอัพไซเคิลที่สร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและสังคมภายนอกด้วย”
เพราะอย่างที่กล่าวว่าไวนิลมีอายุใช้งาน 5 ปี ทั้งลักษณะเนื้อผ้าของไวนิลมีการเคลือบยูวี สามารถกันร้อนกันฝนได้ ปกติเวลาใช้งานป้ายก็แค่ 6 เดือนหรือ 1 ปี ก็ถอดลงแล้ว ฉะนั้น ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 4 ปี เราจึงเกิดไอเดีย ด้วยการนำป้ายไปซ่อมแซมเป็นหลังคาให้กับบ้านเรือนชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน เราทำการสำรวจชุมชนหลายแห่งในกรุงเทพฯ จนที่สุดพบชุมชนเฟื่องฟ้าพัฒนา เขตประเวศ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นชุมชนตกสำรวจ
“ยิ่งเมื่อเข้าไปพบปะพูดคุยกับชุมชนก็พบว่าชุมชนแห่งนี้ประสบความเดือดร้อนหลายด้าน คือชุมชนนี้มี 59 หลังคาเรือน มีจำนวนผู้อยู่อาศัยไม่ถึง 100 คน มีผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียงอยู่หลายครัวเรือน และบ้านบางหลังก็พบว่าหลังคารั่วซึม
ดังนั้น สิ่งที่เราพอจะบรรเทาความช่วยเหลือได้ จึงนำเอาไวนิลมาทำเป็นหลังคา ทำกันสาด ทำกำแพงกันฝน กันร้อนให้ ขณะเดียวกันทาง Plan B Media ก็ช่วยเสริมในเรื่องของระบบไฟฟ้าต่าง ๆ มีการเปลี่ยนปลั๊กไฟให้ ซ่อมแซมส่วนที่พอจะทำได้ขั้นพื้นฐาน”
“ดร.สร” กล่าวต่อว่า การช่วยซ่อมแซมบ้านเรือนถือเป็นส่วนหนึ่ง แต่เราอยากให้ความช่วยเหลือของเราเกิดความยั่งยืนมากขึ้น จึงมีการฝึกสกิลอาชีพให้กับคนในชุมชนด้วย โดยร่วมกับ “คุณท็อป” พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร และ PINN SHOP สอนวิธีการเย็บกระเป๋าจากป้ายไวนิลแก่ชุมชน เพราะเท่าที่ทราบชุมชนแห่งนี้ บางคนตอนกลางวันจะไปนั่งที่ตลาด รอคอยให้มีคนมาจ้างงานเขา วันไหนไม่มีคนจ้างก็จะไม่มีงาน
เพราะนอกจากการฝึกสกิลให้เขาเย็บกระเป๋าเป็นแล้ว ทางคุณท็อปจะช่วยเรื่องการวางแผนการตลาดว่าจะมีการเปิดจำหน่ายอย่างไร ทำอย่างไรให้เกิดรายได้ ซึ่งโครงการเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน คาดว่าจะมีการวางแผนกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ชุมชนมีรายได้อย่างแท้จริง
อีกทั้งเรายังวางแผนที่จะขยายความช่วยเหลือไปยังชุมชนอื่น ๆ แต่ต้องรอดูผลลัพธ์จากชุมชนเฟื่องฟ้าก่อน เพราะคิดว่ายังมีอีกหลายชุมชนที่ได้รับความเดือดร้อน และเราไม่อยากให้โครงการทำแล้วจบในช่วงเวลาสั้น ๆ อยากดูผลลัพธ์ระยะยาว
“ผมมองว่าอะไรที่เราพอจะทำได้ เราก็ทำ ซึ่งเป็นนโยบายที่อินิชิเอทีฟทั่วโลกให้ความสำคัญ อีกทั้งการทำโครงการป้ายส่งต่อความสุขนี้ ยังเป็นการสนับสนุนเรื่องลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายเรื่อง Net Zero Target (Zero Carbon Footprint) ของบริษัท
โดยมีเป้าหมายให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพราะนโยบายนี้เริ่มตั้งแต่ในองค์กรของเรา จากการจัดทำกลยุทธ์ด้านสื่อและการตลาดของเรา สามารถสร้าง media plan ที่มีผลการก่อก๊าซเรือนกระจกที่ต่ำที่สุดได้”
ผลตรงนี้ เป็นอีกหนึ่งพันธกิจที่สำคัญนอกจากการเป็นมีเดียพาร์ตเนอร์ของลูกค้าในไทย และระดับโลก จึงทำให้ลูกค้าแบรนด์ชั้นนำทั่วโลกให้ความไว้ใจอย่างต่อเนื่อง อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย จึงต่อยอดนโยบาย และคิดงานป้ายต่อความสุขขึ้น เพื่อให้เราที่เป็นมีเดียเอเยนซี่ที่ใช้ความรู้ และวิชาชีพสร้างสิ่งดี ๆ ไปพร้อม ๆ กับการทำงาน
อันเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการเป็น “Best Place to Work” ของพวกเรา