ชุมชนเพชรน้ำหนึ่ง รวมพลปลูกต้นไม้สร้างเกษตรยั่งยืน

กว่า 7 ปีผ่านมา บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ ร่วมกันสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิอุทกพัฒน์ในพระบรมราชูปถัมภ์อย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ “ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อร่วมสืบสานพระราชปณิธานตามแนวบริหารจัดการน้ำของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9

ทั้งนี้ จากการดำเนินงานร่วมกันมาของบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน), มูลนิธิอุทกพัฒน์ และเกษตรกรในพื้นที่ชุมชนเพชรน้ำหนึ่ง จ.เพชรบุรี ส่งผลให้กลุ่มเกษตรกรผันตัวเป็นผู้ประกอบการอย่างเต็มตัว โดยมีผลผลิตทางการเกษตรที่ยั่งยืน สามารถบริหารจัดการงานอย่างเป็นระบบ

ทั้งในเรื่องผลผลิตต่อเนื่อง สถานที่แพ็ก และการจัดเก็บผลผลิตที่ได้มาตรฐาน เพื่อช่วยยืดอายุผลผลิตให้มีความสดใหม่ กระทั่งจัดส่งผลผลิตจำหน่ายภายในร้าน Golden Place โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง

สำหรับปีนี้ คณะผู้บริหาร และพนักงานบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ร่วมแรงร่วมใจลงพื้นที่ปลูกต้นไม้ร่วมกับมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ และเกษตรกรในพื้นที่ของชุมชนเพชรน้ำหนึ่ง ต.ลัดหลวง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ด้วยการปลูกหญ้าแฝกรอบสระจำนวน 25,000 กล้า และปลูกต้นไม้

โดยเลือกปลูกไม้ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ได้แก่ ไม้ใช้งาน หรือไม้เศรษฐกิจ และไม้สร้างบ้าน, ไม้กิน หรือไม้ผล รวมถึงไม้ฟืน และประโยชน์ที่ 4 คือ การรักษาและอนุรักษ์ดิน ไม่ว่าจะเป็น ต้นโพธิ์, ตะแบก, ประดู่, ไม้แดง, พะยูง, ยางนา, สักทอง และมะม่วง

ADVERTISMENT

ขณะเดียวกันก็ติดตั้งระบบกระจายน้ำที่ใช้ดูแลต้นไม้ทุกต้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูบริเวณพื้นที่รอบสระระยะทาง 700 เมตร ซึ่งถือเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่นำไปใช้ทำการเกษตรของสมาชิกชุมชน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว รักษาหน้าดิน ป้องกันการพังทลายของตลิ่ง ทั้งยังช่วยให้พื้นที่สระโดยรอบมีความร่มรื่น

ADVERTISMENT

“ดร.สุเมธ” กล่าวว่า ในฐานะที่ดูแลชุมชนเพชรน้ำหนึ่งแห่งนี้ ความสำเร็จที่เราเห็นกันตลอดมา เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่ทำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ฉะนั้น จึงอยากสรุปแนวทางเพื่อความเข้าใจว่า “ความสำเร็จ” นั้นมีอยู่ 5 ปัจจัยด้วยกัน คือ

หนึ่ง ชุมชนร่วมมือร่วมใจ เจ้าของพื้นที่ เจ้าของชะตาชีวิตคือชาวชุมชนทั้งหลาย ถ้าจะหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ใจคุณ มือคุณ ต้องตัดสินใจ ต้องลงมือก่อน เพราะเราเชื่อสองมือ และสมอง

สอง มีผู้นำ มีหัวหน้าที่ดี ผู้นำทางธรรมชาติจะเกิดขึ้นเอง

สาม มีพี่เลี้ยงที่ดี มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ มีข้อมูลวิชาการ มี GPS มีภาพถ่ายทางดาวเทียมนำมาใช้ ไม่ใช่นึกอยากจะขุดสระก็ขุด พอขุดเสร็จแล้วบอกไม่มีน้ำ เพราะไปขุดในที่ที่น้ำไม่ลง

สี่ มีทุนจากผู้สนับสนุนจากองค์กรที่ต้องการคืนกำไรสู่สังคม เพราะถ้าเอากำไรไปหมดแล้ว แต่สังคมไม่อยู่ ลูกค้าคุณก็จะอยู่ไม่ได้

ห้า มีภาคี รู้-รัก-สามัคคี ต้องมีความเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เข้าใจปัญหา เรียนรู้ และแก้ปัญหา เข้าถึงการปฏิบัติ จนนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ผลสุดท้ายชีวิตเราจะรอด คนยุคนี้ถูกล่อด้วยเงิน ซึ่งเป็นของปลอม เพราะคนกินเงินเข้าไปไม่ได้ เลยต้องเอาไปแลกสิ่งต่าง ๆ มา ดั่งคำที่ว่า เงินตราเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของกิน พระเจ้าอยู่หัวถึงใช้ระยะเวลาตลอด 70 ปี เพื่อทำให้การผลิตของเรายืนอยู่ได้ทั้งดิน น้ำ ป่า

“ดร.รอยล จิตรดอน” เลขาธิการมูลนิธิอุทกพัฒน์ กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ภาพรวมของสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปกับสภาวะโลกร้อนค่อนข้างมาก จนทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ยกตัวอย่างตอนเกิดเอลนีโญ อากาศจะแล้ง หรือตอนที่เกิดลานีญา แทนที่ฝนควรจะเยอะ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

เราพบว่าคนที่สร้างปัญหามากที่สุดคือคนเมือง แต่คนที่ได้รับผลกระทบสูงสุดกลับเป็นคนชนบท จะเห็นได้ว่าเวลาความชื้นวิ่งเข้าไปที่อ่าวไทย และจากอ่าวไทยจะวิ่งเข้ากรุงเทพฯ แต่กลับผ่านบริเวณใจกลางกรุงเทพฯที่มีความร้อนสูง แล้วความชื้นจะรวมตัวกันแล้วยกสูงขึ้น

“อีกเรื่องหนึ่งคือ แต่เดิมปทุมธานี ฝนไม่เคยตกเยอะเลย แต่ตอนนี้ฝนเยอะ ลมแรง จนต้นไม้หักโค่น คนที่ก่อปัญหาคือคนกรุงเทพฯนะ ซึ่งเราเจอแบบนั้นเยอะ และมีความเข้าใจผิดหลายเรื่อง เช่น โลกร้อนแล้วฝนจะน้อยลง แต่ปรากฏว่าอัตราการระเหยของทะเลมันสูงขึ้น ทำให้ฝนตกหนักมากขึ้น แต่จะเว้นระยะเวลายาวขึ้นด้วย

ฉะนั้น เวลาฝนตก เราจำเป็นต้องมีที่เก็บน้ำฝน สมัยก่อนเรามองว่าต้องเป็นหน้าที่กรมชลประทาน แต่จากที่ผมเล่า คือแทนที่ฝนจะตกเหนือเขื่อน แต่กลับมาตกท้ายเขื่อน เพราะเกิดจากความร้อนในครัวเรือน จนส่งผลให้แหล่งเก็บกักน้ำ แทนที่จะไปอยู่บนเขา ตอนนี้เปลี่ยนมาอยู่ในพื้นที่ราบ”

ดังนั้น แนวทางการบริหารจัดการน้ำให้ยั่งยืน สิ่งแรก เราชอบเน้นสร้างเขื่อน แต่ไม่สร้างคลอง หรือสร้างสระน้ำ แต่ไม่สร้างระบบส่งน้ำ เรามักชอบสร้างเป็นเรื่อง ๆ แต่ไม่เชื่อมต่อกัน ดังนั้นถ้าจะให้เกิดความยั่งยืน เราต้องคิดทุกอย่างแบบภาพรวม ต้องคิดหลาย ๆ ด้าน เช่น น้ำมาเมื่อไหร่ จะเก็บน้ำยังไง จะนำไปใช้เพาะปลูกพืชยังไง พืชที่ปลูกต้องใช้น้ำน้อย หรือใช้น้ำเยอะเพื่อให้เหมาะสม ปลูกแล้วจะขายยังไง ไปจนถึงจะขนส่งยังไง

ยกตัวอย่างเรื่องการขนส่งของที่นี่ การนำผลผลิตมาแพ็กรวมกันแล้วส่งต่อไปขาย เชื่อไหมครับ เราได้ขยะจากการตัดต่อผลผลิต และสามารถนำไปเป็นปุ๋ยถึง 40% และแทนที่จะต้องขนส่งผลผลิตด้วยน้ำหนักทั้งหมด 100 กิโลกรัม ก็จะเหลือให้ขนไปแค่ 60 กิโลกรัม ทำให้ค่าขนส่งถูกลง นี่แหละคือการมองเห็นภาพรวมทั้งหมด

“ฉะนั้น การสร้างความยั่งยืนจากเกษตรสู่ชุมชน ก็ในเมื่อคนอยู่รวมกัน เราจะมีการทำงานร่วมกันเป็นทีม พอมีกำไรก็กระจายออกไป แทนที่จะกระจุก แต่เรามีส่วนแบ่งร่วมกันทั้งงาน และเงิน รวมไปถึงการแบ่งหน้าที่กัน สำคัญที่สุด คือได้แบ่งปันความรู้ ช่วยกันรักษาความรู้แล้วพัฒนาต่อไปไม่หยุด วันข้างหน้าฝนจะเปลี่ยนยิ่งกว่าตอนนี้

ถ้าลองย้อนกลับไปสมัยก่อน หน้าฝนจะเริ่มเดือนพฤษภาคม และจะตกเยอะที่ภาคกลางและภาคใต้ แต่ตอนนี้ฝนเปลี่ยนไปตกหนักภาคเหนือแทน แถมปัญหาเรื่องความร้อนก็ยังไม่สิ้นสุด ถ้าถามว่าจะให้หน่วยงานราชการเข้ามาบริหารสระที่มีเป็นล้านล้านลูกจะไหวไหม

เราจึงต้องอาศัยชุมชนนี่แหละไปสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง นี่คือสิ่งที่รัชกาลที่ 9 ท่านทรงทำมาตลอด 70 ปี เพื่อให้ความรู้อยู่คู่กับชุมชน และทั้งหมดนี้ ผมอยากจะขอฝากต่อไปในอนาคตด้วย”

ขณะที่ “อภิชัย ชาติเอกมัย” ประธานวิสาหกิจชุมชนสหพันธ์เกษตรกรเพชรน้ำหนึ่ง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี กล่าวว่า หลังจากมีการทำเรื่องระบบกระจายน้ำ ทำให้สมาชิกในชุมชนใช้น้ำอย่างสะดวก ทั้งยังช่วยลดต้นทุน ไม่ต้องไปใช้น้ำมันเครื่องเพื่อสูบน้ำหาปลา เพราะเราติดตั้งระบบน้ำโซลาร์เซลล์แทน ตรงนี้ช่วยลดต้นทุนได้มาก เพราะการทำเกษตร ปัจจัยหลักสำคัญคือน้ำ ถ้ามีน้ำ คนก็อยู่ได้ ผักก็อยู่ได้ พืชผลก็อยู่ได้

“ที่สำคัญ ยังสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน จนทำให้มีเม็ดเงินกลับคืนมา แต่ขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละครัวเรือนด้วย เราจะมีใบสั่งซื้อส่งผักตามออร์เดอร์ ถ้าสมาชิกคนไหนปลูกผักเยอะ เขาก็จะได้เงินเยอะไปด้วย แต่ถ้ามีศักยภาพปลูกได้น้อย ก็จะได้เงินน้อย ยกตัวอย่าง บางครัวเรือนได้อาทิตย์ละ 2,000-3,000 บาท แต่บางครัวเรือนได้ 7,000 บาท หรือ 10,000 บาท ขึ้นอยู่กับกำลังในการเพาะปลูกแต่ละคน”

“ตอนนี้ปัญหาโลกร้อนกระทบกับเรามาก ถ้าอากาศร้อนจัด การปลูกพืชล้มลุก พืชผักอื่น ๆ จะเสียหายหมด ตรงนี้จะมีผลกระทบไปถึงการส่งผักขายที่ Golden Place ด้วย เพราะเรามีแพลนส่งผักเป็นตารางหมุนเวียนที่ชัดเจน เราจึงต้องกลับมาที่ความสำคัญของน้ำ เพราะถ้ามีน้ำมารดต้นไม้ ทั้งตอนเช้า ตอนเย็นจะช่วยลดปัญหาตรงนี้ได้ดีมากทีเดียว และที่สุดผลผลิตก็จะอุดมสมบูรณ์”