
ประเทศไทยเริ่มขับเคลื่อนการผลักดันการทำธุรกิจโดยคำนึงถึงหลัก ESG (สิ่งแวดล้อม, สังคม และ ธรรมาภิบาล) มาพักใหญ่แล้ว โดยมีการวางบทบาทให้ภาคการเงิน (Financial Sector) เป็นหัวหอกสำคัญในการหนุนช่วยให้ธุรกิจอื่น ๆ ปรับตัว เนื่องจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่า ปัจจุบันโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยยังเป็นสีน้ำตาล (Brown) ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง
กล่าวคือ ภาคอุตสาหกรรมมีการพึ่งพาพลังงานที่เป็น Fossil ถึง 60% ของการใช้พลังงานทั้งหมด ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวก็มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) 3-4 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกและเอเชีย ในขณะเดียวกันพบว่ามีธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) มากถึง 70% ที่ยังไม่พร้อมปรับตัวทางด้านสิ่งแวดล้อม
ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดทำโครงการ “Financing the Transition การเงินเพื่อการปรับตัวสู่ความยั่งยืนของภาคธุรกิจ” โดยมีธนาคารพาณิชย์ 8 แห่งเข้าร่วม ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารทหารไทยธนชาต, ธนาคารเกียรตินาคินภัทร และ ธนาคารยูโอบี
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า การสนับสนุนทางการเงินเพื่อการปรับตัวของภาคธุรกิจที่ปัจจุบันยังเป็น Brown อยู่มาก โดยเฉพาะเอสเอ็มอี มีความจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับบริบทของประเทศไทยในขณะนี้ ที่ธุรกิจต่าง ๆ ในภาคการผลิต ภาคการส่งออก ยังอยู่ในโลกเก่าค่อนข้างมาก ยังมีความเป็นธุรกิจสีเขียว (Green) ค่อนข้างน้อย
“ในการปรับตัว เราต้องคำนึงถึงจังหวะเวลา และความเร็วให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศเรา ซึ่งเราต้องการสร้างสมดุลระหว่างการเดินหน้าสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน และการป้องกันผลข้างเคียงเชิงลบที่จะเกิดกับภาคส่วนต่าง ๆ”
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ธปท. และ ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการ ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เงินทุนให้ตอบโจทย์ของภาคธุรกิจ และมีเงื่อนไขที่เอื้อกับการปรับตัวของธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งหวังว่าจะช่วยให้เกิดการปรับตัวได้อย่างจริงจัง
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า โจทย์ใหญ่ของประเทศไทยในขณะนี้คือ การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจที่มีคาร์บอนต่ำ ซึ่งมีแรงกดดันมาจากทุกทิศทาง เริ่มจากกลไกความตกลงระหว่างประเทศ ภาครัฐ ประเทศคู่ค้า ลูกค้า และสังคมโดยรวม
โดยแรงกดดันดังกล่าวจะมีความเข้มข้นยิ่งขึ้น หากธุรกิจไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ สิ่งที่ตามมาคือ มาตรการจากประเทศคู่ค้า อย่างเช่น CBAM (มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน) ที่สหภาพยุโรป (EU) ประกาศใช้แล้ว และจะมีผลในปี 2569
นอกจากนั้น สหรัฐ อังกฤษ และออสเตรเลีย กำลังจะบังคับใช้ CBAM เช่นกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยที่ส่งออกไปอย่างแน่นอน
สำหรับธนาคารกรุงเทพมีแนวทางช่วยเหลือ ดูแลลูกค้า ให้สามารถปรับเปลี่ยนและสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน โดยสนับสนุนการปรับตัวทั้ง 3 ด้าน คือ 1.ด้านอุปสงค์ 2.ด้านอุปทาน และ 3.ผลักดันการลดมลพิษ ล่าสุด ได้เปิดตัว “สินเชื่อบัวหลวงกรีนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม” สนับสนุนธุรกิจที่ต้องการเงินทุนสำหรับการปรับตัวเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ใน 3 ด้าน
คือ 1) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2) ปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 3) ลดการสร้างมลพิษ โดยมีข้อเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ สามารถผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 8 ปี
“ธนาคารได้จัดเตรียมวงเงินสินเชื่อไว้รองรับความต้องการของลูกค้าถึง 10,000 ล้านบาท”
ขณะที่ นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยพยายามจะเป็นหนึ่งในแรงกระเพื่อมเพื่อผลักดันในเรื่อง Sustainability (ความยั่งยืน) และ Green ให้เกิดขึ้นได้จริง ๆ ในวงกว้าง
โดยที่ผ่านมาได้เป็นธนาคารหลักร่วมกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในฐานะตัวแทนสมาคมธนาคารไทย ประกาศเจตนารมณ์ด้าน ESG เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และร่วมกับ ธปท. ในการจัดทำ Industry Handbook เพื่อเป็นคู่มือของธนาคารต่าง ๆ ในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
“เรายังได้จัดทำ Transition Plan โดยเริ่มจากอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงอีกด้วย ทั้งนี้ ธนาคารได้ตั้งเป้าสินเชื่อ Sustainable Finance ไม่น้อยกว่า 100,000-200,000 ล้านบาท ภายในปี 2030 ซึ่งในปัจจุบันเราได้ทำไปแล้วกว่า 94,000 ล้านบาท และคาดว่าภายในสิ้นปี 2567 นี้จะถึง 100,000 ล้านบาท”
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์บทบาทของธนาคารในการขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยเน้นไปที่กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย
ปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้นำการสนับสนุนอุตสาหกรรมโรงแรมมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยพอร์ตสินเชื่อคงค้างรวมกว่า 134,000 ล้านบาท และได้วางแผนการดำเนินงานเพื่อช่วยลูกค้าของธนาคารทั้งพอร์ตธุรกิจนี้ให้สามารถปรับธุรกิจให้เป็น Green Hotel ทั้งกระบวนการเพื่อยกระดับสู่องค์กรยั่งยืนได้
ทั้งหมดนี้เป็นบทบาทของภาคการเงิน ในการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมไทยให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ภายในปี 2065 ตามที่ได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ในที่ประชุมรัฐภาคกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26