
การนำแนวทางปฏิบัติ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล) มาใช้ของธุรกิจ ไม่ใช่แค่กระแสการทำความดี แต่เป็นเมกะเทรนด์โลก ที่ทุกองค์กร ทุกหน่วยงานต้องให้ความสำคัญ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ESG เป็นสิ่งจำเป็นเชิงกลยุทธ์ต่อภาคธุรกิจ เพราะช่วยให้บริษัทสามารถจัดการความเสี่ยงได้ สามารถรักษาความยั่งยืนในระยะยาว
ยูนิลีเวอร์ชูโมเดลพลังงานหมุนเวียน 100%
“ยูนิลีเวอร์” ประกาศแผนปฏิบัติการระดับโลกเพื่อเปลี่ยนผ่านสภาพอากาศ (Climate Transition Action Plan : CTAP) ในปี 2020 พร้อมให้คำมั่นสัญญาว่า จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2039
ขณะที่การดำเนินงานในประเทศไทย กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ได้เดินตามแผน CTAP และประสบความสำเร็จกับการพัฒนาโรงงานเกตเวย์ เขตนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา ได้รับการรับรองให้เป็นโรงงานที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในปี 2023
โรงงานเกตเวย์ เป็นโรงงานผลิตอาหารและสินค้าให้ร้านค้าปลีกและร้านค้าส่งของยูนิลีเวอร์ ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จจากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเรื่องสภาพภูมิอากาศ ได้แก่
1. พลังงานไอน้ำ : เปลี่ยนจากการใช้น้ำมันเตาซึ่งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มาเป็นระบบหม้อต้ม (Boiler) ที่ใช้เชื้อเพลิงชีวมวล สำหรับกระบวนการผลิต โดยตอนนี้มีหม้อต้มขนาดใหญ่ 3 ตัน ทีมงานพยายามหาผู้ผลิตเศษไม้ที่มีแหล่งที่มาของไม้ และกระบวนการผลิต Wood Pellet รวมถึงการขนส่งที่ผ่านมาตรฐาน และมองหาเชื้อเพลิงชีวมวลในรูปแบบอื่นสำรอง การควบคุมอุณหภูมิระหว่างการเปลี่ยนรอบ
2. พลังงานไฟฟ้า : ซื้อพลังงานหมุนเวียนจากผู้ที่ได้ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificates: RECs) ในประเทศไทยเพื่อทดแทนการปลดปล่อยคาร์บอนจากการผลิตพลังงานไฟฟ้า และทำ MOU กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ศึกษาหาแหล่งพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน 100% มาจัดจำหน่ายให้กับยูนิลีเวอร์
3. พลังงานแสงอาทิตย์ : พลังงานไฟฟ้าจากแสงแดดบนอาคารที่มีกำลังผลิตพลังงานสะอาด 560 กิโลวัตต์
4. สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม : ยกเลิกใช้สารทำความเย็นที่มีคุณสมบัติเป็นก๊าซเรือนกระจก โดยโรงงานของยูนิลีเวอร์ได้เปลี่ยนสารทำความเย็นทั้งหมดให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงมีประสิทธิภาพดี ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2021 เป็นต้นมา
HSBC ช่วยลูกค้าองค์กร ลดมลพิษ สโคป 3
การปล่อยก๊าซสโคปที่ 3 ถือเป็นการปล่อยก๊าซทางอ้อมจากห่วงโซ่อุปทาน ที่เป็นข้อกังวลหลักของหลาย ๆ องค์กร เพราะควบคุมได้ยากที่สุด อย่างไรก็ตามยังมีวิธีที่สามารถดำเนินการได้
ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) ประเทศไทย เข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าองค์กร ในการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero โดยเปิดตัว “สินเชื่อเพื่อห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน” (Sustainable Supply Chain Finance)เพื่อช่วยทั้งกลุ่มลูกค้าองค์กรของ HSBC ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 3 ขณะเดียวกันก็ได้ช่วยกลุ่ม SMEs ที่เป็นพันธมิตรของลูกค้าองค์กรของ HSBC ให้มีเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง
กลไกของ Sustainable Supply Chain Finance ประกอบไปด้วย
หนึ่ง ผู้ซื้อ (ลูกค้าองค์กรของ HSBC) : กำหนดเป้าหมายและทำโปรแกรมวัดผลซัพพลายเออร์ SMEs ที่อาจต้องการเงินทุนและต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรตัวเอง
สอง ธนาคาร (HSBC) : เป็นผู้ให้สินเชื่อ
สาม ซัพพลายเออร์ SMEs (คู่ค้าของลูกค้าองค์กรของ HSBC) : นำเงินทุนที่ได้รับไปใช้สำหรับโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือโครงการเพื่อความยั่งยืนต่าง ๆ
กรณีศึกษา Walmart ที่ร่วมโครงการสินเชื่อเพื่อห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน
Walmart มีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 1,000 ล้านเมตริกตัน ภายในปี 2030 จึงได้ตัดสินใจนำสินเชื่อของ HSBC เป็นตัวดึงดูดซัพพลายเออร์มาร่วม
โดย Walmart ทำโครงการ Project Gigaton ในปี 2017 เป็นตัวชี้วัดซัพพลายเออร์ และหากผ่านเกณฑ์ที่ Walmart กำหนด ก็จะได้สินเชื่อจาก HSBC โดยเกณฑ์คือ ซัพพลายเออร์ต้องสามารถแสดงความคืบหน้าด้านความยั่งยืนตามข้อกำหนดใน 6 เสาหลักของ Walmart คือ พลังงาน ของเสีย บรรจุภัณฑ์ ธรรมชาติ การขนส่ง และการใช้ผลิตภัณฑ์
หลังจากที่ Walmart นำสินเชื่อเพื่อห่วงโซ่อุปทานมาใช้บูรณาการกับ Project Gigaton ก็ทำให้เกิดอิมแพ็กต์มากขึ้น การมีส่วนร่วมของซัพพลายเออร์ในโครงการสมัครใจนี้เพิ่มขึ้นจาก 200-300 ราย มาเป็นมากกว่า 5,000 ราย ทำให้ Walmart เข้าถึงเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้น
“สตาร์บัคส์” ลดคาร์บอน-ขยะ-การใช้น้ำ ครึ่งหนึ่ง
“สตาร์บัคส์” (Starbucks) มีเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การใช้น้ำ และขยะของร้าน ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 ในทุกประเทศที่สตาร์บัคส์ดำเนินธุรกิจอยู่ โดยมีกรอบการดำเนินงาน 5 ด้าน คือ
หนึ่ง เพิ่มตัวเลือกเมนูที่เป็น plant-based
สอง เปลี่ยนจากบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวเป็นบรรจุภัณฑ์แบบใช้ซ้ำ
สาม ลงทุนในเกษตรกรรมแบบฟื้นฟู การปลูกป่าทดแทน การอนุรักษ์ป่า และการเติมน้ำในห่วงโซ่อุปทานของบริษัท
สี่ ทุ่มเทกับการหาวิธีในการจัดการขยะที่ดีกว่า
ห้า สร้างสรรค์นวัตกรรมในร้านค้า การดำเนินงาน การผลิต และการจัดส่งที่รับผิดชอบมากขึ้น
สตาร์บัคส์ ประเทศไทย เดินตามกรอบความยั่งยืนของสตาร์บัคส์ระดับโลกมาโดยตลอด โดยในมิติการจัดการขยะ ได้จัดทำโครงการ LITTLE CHOICES. BIG CHANGES. สนับสนุนให้ลูกค้านำแก้วส่วนตัวมาใช้ โดยให้ส่วนลด 10 บาทเป็นการจูงใจ ตั้งเป้าลดขยะแก้วพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง 50% หรือกว่า 3 ล้านแก้ว และนับตั้งแต่ปี 2541 บริษัทลดไปแล้วกว่า 29 ล้านใบ ขณะที่อีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ของสตาร์บัคส์ ประเทศไทย คือ การเพิ่มสาขา Greener Store จาก 12 สาขา ให้เป็น 20 สาขาภายในปี 2567
โดย Greener Stores คือ ร้านที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ควบคุมด้วยระบบการบริหารจัดการพลังงานที่จัดเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อคงสถานะการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการระบุถึงการใช้พลังงานที่บกพร่อง เพื่อปรับปรุงการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นในครั้งต่อไป
ทิศทาง “เซ็นทรัล ทำ”
ขณะที่ “กลุ่มเซ็นทรัล” ได้มีการขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโครงการ “เซ็นทรัล ทำ” (Central Tham) ที่ดำเนินงานสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ตอกย้ำจุดยืนของการทำบนแนวคิดการสร้างคุณค่าร่วม (CSV) ร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน องค์กร และชุมชนต่าง ๆ
โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา Central Tham สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชน 1,700 ล้านบาทต่อปี สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชุมชนกว่า 150,000 ราย สร้างงานและสนับสนุนอาชีพคนพิการ 1,011 คน
หนึ่งในภารกิจของ “เซ็นทรัล ทำ” คือมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน เช่น
หนึ่ง เกษตรอินทรีย์แม่ทา อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ : นับแต่ปี 2560 ที่เซ็นทรัล ทำ ร่วมกับมูลนิธิสายใยแผ่นดิน ดำเนินโครงการวิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทาบนพื้นที่ 9 ไร่ สนับสนุนเกษตรกรรุ่นใหม่ขับเคลื่อนการทำเกษตรกรรมยั่งยืน
ปัจจุบันชุมชนแม่ทาได้ขยายผลการดำเนินงานสู่การจัดทำโฮมสเตย์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงวิถีเกษตรอินทรีย์ สร้างรายได้ให้ชุมชนในปี 2023 มากกว่า 8.4 ล้านบาท โดยมีชุมชนเข้าร่วมกว่า 110 ราย
สอง จริงใจฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต หรือตลาดจริงใจ มีทั้งหมด 33 สาขา ใน 29 จังหวัด โดยในปี 2566 สามารถสร้างรายได้กว่า 231 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรกว่า 10,200 ครัวเรือน
สาม good goods (กุ๊ด กุ๊ดส์) ร้านจำหน่ายสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นดีไซน์ร่วมสมัย โดยกำไรที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าทั้งหมดจะถูกนำกลับไปพัฒนาชุมชนต่อไป ปัจจุบันร้าน good goods มีจำนวน 3 สาขา ได้แก่ คอนเซ็ปต์สโตร์ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1, สาขาโครงการจริงใจ มาร์เก็ต จ.เชียงใหม่ และสาขาที่ 3 ใหม่ล่าสุด สาขาเซ็นทรัลภูเก็ต