รัฐ-เอกชนผนึกสู้โลกเดือด ผลักดันตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต

“พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง นำทีมผู้บริหารภาครัฐ-เอกชน ขึ้นเวทีสัมมนาใหญ่ “พลิกวิกฤตโลกเดือด” ชี้ไทยเจอโจทย์ยากลดปล่อยคาร์บอน 120 ล้านตัน/ต่อปี ภายใน 6 ปีจากนี้ แต่ต้องทำให้ได้เพราะอาจกระทบส่งออก และการลงทุนของต่างชาติในไทย พร้อมผลักดันตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ส่วน “คงกระพัน” ซีอีโอ ปตท.ชู “3C” ช่วยลดโลกร้อน “ฐาปน” แห่งไทยเบฟหนุนปรับตัวสู่ ESG ระดมภาคเอกชนร่วมมือกัน “ประธานพร” BYD เชื่อทุกองค์กรหนี ESG ไม่พ้น ขณะที่แบงก์ทั้งกสิกรฯ-ออมสิน หนุนเปลี่ยนผ่านธุรกิจ ช่วยลดคาร์บอน

‘รัฐ-เอกชน’ ผนึกสู้โลกเดือด

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวปาฐากถาพิเศษ ในงานสัมมนา Prachachat ESG Forum 2024 หัวข้อ “Time for Action #พลิกวิกฤตโลกเดือด” จัดโดย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัญหาโลกเดือดไม่ใช่โลกเดือดอย่างเดียว แต่จะเดือดร้อนด้วย ถ้าเราไม่สามารถแก้ปัญหาให้ลุล่วงได้ ดังนั้นจึงถึงเวลาที่จะต้อง Take Action ซึ่งหวังว่าสัมมนาครั้งนี้จะเป็นแรงกระเพื่อมที่สำคัญ ให้ทุกภาคส่วนรับรู้ถึงความรุนแรงของปัญหา และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน

พิชัย ชุณหวชิร
พิชัย ชุณหวชิร

“พิชัย” ย้ำแก้ปัญหาโลกเดือด

เมื่อได้ยินเรื่องปัญหาโลกร้อน ที่ผ่านมามีสัญญาประชาคมเกิดขึ้น มีการประชุม มีข้อตกลงความร่วมมือหลายครั้งหลายหน แต่ที่เห็นผลก็น่าจะเป็นเวทีประชุมที่เรียกว่า “COP 26” ซึ่งก็มีความตกลงร่วมกันออกมา โดยประเทศไทยก็ต้องทำตามเพื่อความอยู่รอด

“ประเทศไทยเราได้รับโจทย์มาว่า ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2030 หรืออีก 6 ปีจากนี้ ต้องยอมรับว่าค่อนข้างลำบาก ขณะที่โจทย์ต่อไปคือในอีก 20 ปีข้างหน้า การปล่อยคาร์บอนและการนำเข้าจะต้องเท่ากัน เป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และให้เวลาอีก 15 ปีหลังจากนั้นไปสู่ Net Zero ในปี 2065 ไม่มีการปล่อยคาร์บอน ทุกอย่างเป็นศูนย์หมด โลกนี้สดใสน่าอยู่ขึ้น”

เร่งลดคาร์บอน-แก้ส่งออก

นายพิชัยกล่าวอีกว่า หากประเทศไทยไม่ทำตามข้อตกลง หรือทำแล้วแต่ไม่บรรลุเป้าหมาย แน่นอนว่าภาคการผลิตจะมีปัญหาแล้วจะส่งออกไม่ได้ ซึ่งไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออก แม้วันนี้สัดส่วนจะลดจาก 70% เหลือ 65% แล้วก็ตาม

อยากให้นึกภาพว่าถ้าเราปลูกข้าวแล้วไม่มีใครซื้อ ต้องบริโภคกันเองในประเทศจะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ดี หากลดคาร์บอนไม่ได้ตามเป้า ก็ต้องไปซื้อคาร์บอนเครดิตมาจากประเทศอื่นเพื่อให้ส่งออกได้ แต่ต้นทุนจะแพงมาก ธุรกิจก็จะอยู่รอดไม่ได้

ADVERTISMENT

ขณะเดียวกันภาคการลงทุนก็จะหายหมด เพราะคงไม่มีใครอยากมาลงทุน เพราะลงทุนไปก็ขายสินค้าไม่ได้ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศก็ไม่มีใครอยากมาลงทุน

ต่างชาติอาจระงับลงทุนไทย

ส่วนในไทย การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เราเรียกหาก็จะไม่มีมา โดยจากที่ประเมินตัวเลขคร่าว ๆ ในช่วง 3 ปี คือปี 2566-2568 จะมีเงินไหลเข้ามาได้ประมาณ 2 ล้านล้านบาท แต่นักลงทุนทุกคนต้องการ 3 สิ่ง คือ 1.ต้องการพลังงานสีเขียว 2.ต้องการการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ใช้เวลาสั้น และ 3.ต้องการคนทำงานที่มีประสิทธิภาพ ตรงกับความต้องการ

ADVERTISMENT

“นักลงทุนเขาส่งสัญญาณตั้งแต่วันนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะไปลงทุนที่ไหนก็ต้องการ 3 สิ่งนี้ เพื่อเขาจะอยู่รอดได้เช่นกัน ดังนั้น ถ้าภาคการผลิตมีปัญหา การลงทุนมีปัญหา ก็ไม่ต้องพูดเลย ภาคการเงินก็คงจะไม่เป็นแหล่งเงินลงทุนให้ ก็จะหาเงินลงทุนไม่ได้ ฟังแค่นี้ก็จะรู้แล้วว่า ถ้าทำไม่ได้ตามเป้าหมายจะเป็นอย่างไร”

เปิดตัวเลขสุดหิน-งานยาก

รองนายกฯกล่าวอีกว่า เมื่อดูว่าวันนี้ประเทศไทยอยู่ห่างจากเป้าหมายที่มีพันธกิจ มีข้อตกลงไว้แค่ไหน ก็ต้องบอกว่าตอนนี้ ประเทศไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 370 ล้านตัน/ปี ซึ่งการจะลดให้ได้ 30% ใน 6 ปีข้างหน้า ก็คือต้องลดให้ได้ 120 ล้านตัน/ปี แต่ช่วงที่ผ่านมาเป็นสิบปี ก็ยังอยู่ที่ตัวเลข 370 ล้านตัน/ปี เหมือนเดิม

การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 370 ล้านตัน ก็มีข้อมูลว่า 70% มาจากเซ็กเตอร์ผลิตพลังงาน ขณะที่มาจากภาคเกษตรกรรม 15% อุตสาหกรรมย่อย ๆ อื่น ๆ อีก 10% และขยะอีกราว 5%

“ถ้าเราจะลดได้ เราต้องโชว์ให้ชาวโลกเห็นว่า เราจะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้แค่ไหน ซึ่งถ้าสมมุติว่าเอามาจากเขื่อน 1 ใน 8 รันทั้งปีเลย จะได้ประมาณ 30 ล้าน REC (Renewable Energy Certificate) หรือประมาณ 15 ล้านตัน เทียบกับที่ต้องลดให้ได้ 150 ล้านตัน

แล้วถ้ารวมกับพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์อีก ซึ่งจะได้แค่ประมาณ 5 ล้านตัน ทำเต็มที่สองอย่างรวมกันได้ 20 ล้านตัน เทียบกับ 120 ล้านตัน ขาดอีก 100 ล้านตัน จะทำอย่างไร นี่คือโจทย์”

ผลักดันตลาดซื้อขายคาร์บอน

นายพิชัยกล่าวว่า จะต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยสิ่งที่ต้องทำคือ การกักเก็บคาร์บอนเครดิตให้ได้จำนวนมาก ๆ เช่น การปรับวิธีปลูกข้าว การแก้ปัญหาเรื่องขยะ เป็นต้น ซึ่งกุญแจหรือคีย์สำคัญในการทำให้สำเร็จ มีด้วยกัน 3 เรื่อง คือ 1.ต้องมีคาร์บอนเครดิตอย่างเพียงพอ 2.ต้องมีนโยบาย และการกำกับดูแล กฎระเบียบต่าง ๆ ที่สร้างความเชื่อมั่นว่าวิธีจัดเก็บคาร์บอน มีความเป็นสากลและเป็นที่ยอมรับของชาวโลก และ 3.คาร์บอนเครดิตต้องซื้อขายได้ เหมือนเครื่องมือทางการเงินทั่วไป โดยผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม

“ต้องมีดิจิทัลแพลตฟอร์ม ซึ่งวันนี้ผมเล็งไปที่ TDX (ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ไม่ Active อยู่ อันนี้เหมาะสม จะพยายามผลักดันให้เห็นการเข้าไปเทรด แล้วจะรู้ว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ เพื่อสร้างให้เกิดความน่าเชื่อถือ”

“วันนี้สิงคโปร์เขามีแล้ว ราคาเทรดอยู่ที่ 20 เหรียญสิงคโปร์ หรือ 17 เหรียญสหรัฐต่อ 1 REC แต่เขาจะปรับทุก ๆ 2 ปี ซึ่งเมื่อถึงปี 2030 เขาจะเพิ่มเป็น 70 เหรียญสิงคโปร์ หรือ 49 เหรียญสหรัฐหรือคำนวณออกมาเป็น 1 ตันคาร์บอนเท่ากับ 98 เหรียญสหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับราคาที่เทรดในยุโรปอยู่ในวันนี้ คือจะเข้ายุโรปวันนี้ต้องจ่าย 100 เหรียญต่อตัน”

รัฐผลักดัน-มีโอกาสซ่อนอยู่

รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังกล่าวด้วยว่า ในส่วนของรัฐบาลมีความมุ่งมั่นจะดำเนินการในเรื่องนี้ โดยที่ผ่านมากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดตั้ง กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ขึ้นมา ซึ่งจะมีหลักสูตรอบรมให้ความรู้ในเรื่องเหล่านี้ ขณะเดียวกันที่ทำในลักษณะอาสาสมัครก็คือ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

“ทั้งหมดนี้คือความเดือดร้อน โลกเดือด เป็นปัญหาที่ประเทศไทยต้องเจอ แต่ก็มีความท้าทาย และมีโอกาสซ่อนอยู่ สมมุติเราทำได้มากกว่าที่มันควรจะเป็น เราก็สามารถเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นผู้นำอาเซียน เป็นผู้ส่งออกคาร์บอนเครดิต จากคนที่จะต้องซื้อเพียงอย่างเดียว”

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง

ปตท.มุ่งหน้าธุรกิจยั่งยืน

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.ถูกจัดตั้งมาเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ ซึ่งมีบทบาทหน้าที่สำคัญต่อประเทศ มีวิสัยทัศน์ที่จะต้องสร้างความแข็งแรงร่วมกับสังคมไทย โดยมุ่งให้ไทยมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ เติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน ตอบสนองสังคมไทยและผลิตสินค้าสอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์ของโลก

“ธุรกิจหลัก ๆ ของปตท. ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ Hydrocarbon ทั้งการผลิตและสำรวจ แก๊สธรรมชาติและน้ำมัน นับว่าเป็นพลังงานหลักของโลกไปอีกอย่างน้อย 30 ปี ซึ่ง ปตท.เน้นทำเรื่องที่ถนัดให้ดี แต่จะทำแบบเดิมไม่ได้”

ชู “3C” ช่วยลดโลกร้อน

การสร้างความมั่นคงทางพลังงานควบคู่ไปกับการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของ ปตท. ที่ต้องดำเนินธุรกิจเรื่องแก๊ส น้ำมัน ควบคู่กับการใส่ใจสิ่งแวดล้อมและลดภาวะโลกร้อน ผ่านการบูรณาการ Sustainability เข้าสู่การทำธุรกิจและสร้างสมดุล ESG ให้เหมาะสมกับธุรกิจขององค์กร ผ่าน 3 เรื่อง คือ หลัก C3 Approach

ประกอบด้วย C1 คือ Climate resilience Business เป็นการทำธุรกิจที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปตท.ก็ได้ปรับพอร์ตธุรกิจทุกบริษัทในกลุ่มเลือกไปทำผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนต่อตันน้อยลง

เป้าหมายเป็น Net Zero

C2 คือ Carbon Conscious Business ธุรกิจที่ทำอยู่แล้วก็ต้องลดคาร์บอนโดยเอาพลังงานที่สะอาดขึ้นมาใช้ นำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การทำ Smart Plant ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการใช้พลังงาน ซึ่งจะเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปโดยปริยาย แต่ก็ต้องมีการลงทุนซึ่งก็ถือว่าคุ้มทุนเพราะการลดการใช้พลังงาน ลดคาร์บอนก็ทำให้รีเทิร์นของเราดีขึ้นด้วย

C3 คือ Coalition-Cocreation and Collective Efforts for All เรื่องการที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ปล่อยคาร์บอนเลย แต่เราปล่อยเท่าไหร่ก็เก็บเท่านั้น หรือ Carbon Capture

“ไฮโดรเจน” คำตอบสุดท้าย

ปตท.ใช้เทคโนโลยีในการเก็บคาร์บอนจากอากาศในสภาพของเหลว ซึ่งจะถูกส่งและกักเก็บที่หลุมธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่ง ปตท.ทำหน้าที่สร้าง Infrastructure การเก็บและการลงไปใต้ดิน-ใต้ทะเล ก็เป็นหน้าที่ของ ปตท.สผ. ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ สิ่งที่เป็นความท้าทายไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่จะต้อง Unlock Regulation ร่วมกับภาครัฐด้วย

“เราไม่มีทางก้าวเข้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้ ถ้าไม่มีการกักเก็บคาร์บอน และ ปตท.กำลังเอาเชื้อเพลิงที่ไม่มีคาร์บอนมาใช้ คือ ไฮโดรเจน สำหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งโมเลกุลไฮโดรเจนไม่มีคาร์บอน สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้” ดร.คงกระพันกล่าว

ฐาปน สิริวัฒนภักดี
ฐาปน สิริวัฒนภักดี

“ไทยเบฟ” หนุนปรับตัวสู่ ESG

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์โลกเดือดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่เพียงกระทบสิ่งแวดล้อม แต่ส่งผลไปถึงการจับจ่ายใช้สอยและการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนแล้ว เรียกว่าเป็นช่วง Time for Action ที่ทุกฝ่ายทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจซึ่งต่างเป็นผู้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ต้องผนึกกำลังกันปรับตัวเพื่อให้เกิดพลวัตนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางบวกต่อโลก

สำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ช่วงเวลานี้ซึ่งเกิดการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี อาจเป็นจังหวะเหมาะสมที่จะปรับตัวให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือการทำ ESG ให้สำเร็จได้รวดเร็วกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากธุรกิจขนาดใหญ่อาจต้องรอให้การลงทุนในเทคโนโลยีเดิมคุ้มค่าก่อนที่จะลงทุนเพิ่ม ต่างจากธุรกิจขนาดเล็กและกลางสามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาปรับใช้กับสินค้าและบริการ เพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นได้ทันที

แนะรายใหญ่ใช้ AI ช่วย

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถนำเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI เข้ามาช่วยเร่งสปีดการทำ ESG ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของ Governance ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดที่ท้าทายที่สุด เนื่องจากความซับซ้อนทั้งการเก็บรวบรวมข้อมูล และสื่อสารทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายในองค์กรนั้น สามารถนำ AI มาตอบโจทย์ได้

เพราะคอมพิวเตอร์สามารถส่งต่อข้อมูลได้มากและรวดเร็วกว่ามนุษย์ ส่วนมนุษย์สามารถโฟกัสกับการต่อยอด AI เพื่อสร้างโซลูชั่นด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นประโยชน์ต่อโลกออกมาได้อย่างเต็มที่

เอกชนรวมพลังผ่าน “TSCN”

นายฐาปนกล่าวอีกว่า นอกจากการปรับตัวระดับองค์กรแล้ว ภาคเอกชนยังพยายามสร้างความร่วมมือหลายกลุ่ม เช่น TSCN หรือ Thailand Supply Chain Network ซึ่งซัพพลายเออร์ทั้งรายใหญ่ รายย่อย ร่วมมือกันแบบข้ามอุตสาหกรรมอีกด้วย

“การปรับตัวเรื่องสิ่งแวดล้อมนี้ หากมองในลักษณะที่เป็นปัจเจก-ทำคนเดียวอาจเป็นเรื่องยาก จึงต้องมองว่าเรามีโอกาสรวมพลังกันมากน้อยแค่ไหน แล้วจะสร้างพลวัตการเปลี่ยนแปลงไปสู่ในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างไร”

ประธานพร พรประภา
ประธานพร พรประภา

BYD ชี้รถอีวีช่วยลดคาร์บอน

นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จำหน่ายและให้บริการรถอีวี BYD กล่าวว่า ประเทศไทยมีแหล่งคาร์บอนไดออกไซด์ 2 ส่วน คือ ทำฟาร์มและบนถนน โดยเฉพาะรถยนต์เพื่อการพาณิชย์และขนส่งปล่อยคาร์บอนสูงถึง 37% ของรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนถนน

ดังนั้นเรากำลังช่วยลดปัญหาตรงนี้ ประกอบกับตลาดรถ EV เองก็กำลังเติบโต เชื่อว่าหลังปี 2023 อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดจะเติบโตค่อนข้างสูง ขณะที่รถ EV แม้จะโตจริง แต่ผู้คนยังตั้งคำถามเรื่องการชาร์จไฟ ซึ่งในทางเทคนิคต้องบอกว่า แบตเตอรี่ของ BYD สามารถชาร์จได้มากถึง 1 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นการใช้งานได้นานถึง 50 ปี

“เราเชื่อว่าองค์กรต่าง ๆ หนีเรื่อง ESG ไม่พ้น และหากต้องการบรรลุเป้าหมายด้านนี้ได้เป็นอย่างดี ก็ควรมีผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ยืนยันว่าธุรกิจพลังงานสะอาดมาแน่ ส่วนรถ EV อนาคตโอกาสก็สดใสด้วยเช่นกัน”

พิพิธ เอนกนิธิ
พิพิธ เอนกนิธิ

“กสิกรฯ” หนุนธุรกิจเปลี่ยนผ่าน

นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในหัวข้อ “Actions for Change” ว่า ภายใต้กฎหมายและกติกาใหม่ที่เริ่มนำมาใช้ เช่น U.S. Clean Competition Act หรือ European Green Deal & CBAM รวมถึง China Carbon Footprint Tracking System ธนาคารได้ประเมินตัวเลขผลกระทบต่อธุรกิจไทยเบื้องต้น ในรูปแบบ CAP & TRADE และ CARBON TAX คือ 1.Energy License Business จำนวน 2,413 License 2.โรงงาน 70,000 แห่ง และ 3.ธุรกิจเฉพาะในอุตสาหกรรมเฉพาะอีกราว 10,000 โรงงาน

ในมุมของธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าการลดก๊าซเรือนกระจก ยึดหลักตามนโยบายประเทศ ซึ่งไทยตั้งเป้าลด Reduction from Based Year ในปี 2566-2573 อยู่ที่ 30% หากคำนวณเป็นเม็ดเงินที่ลงทุนจะอยู่ที่ 5.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 7.6 แสนล้านบาทต่อปี และในปี 2573-2580 เพิ่มเป็น 50% หรือคิดเป็นเงินลงทุน 8.2 ล้านล้านบาท หรือราว 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี

ดึงคนทั่วไปช่วยลดคาร์บอน

นายพิพิธกล่าวว่า เป้าหมายไปสู่ Net Zero กสิกรไทยเปิดบริษัท KOP50 เป็นโฮลดิ้ง คอมปะนี หวังว่าภายในปี 2593 จะสามารถบรรลุความสำเร็จเป็น Net Zero Thailand ได้ นอกจากนี้ ยังมีบริษัท K Climate 1.5 และ Creative Climate Research Center ยังไม่ได้อนุมัติการจัดตั้ง แต่อยู่ในแผนการจัดตั้งเรียบร้อย โดยจะทำในเรื่องของ Carbon Accounting เรื่องของ Reporting และ Analysis

“ธนาคารยังเปิดให้คนตัวเล็กสามารถเข้าร่วมในเรื่องของการลดคาร์บอน ทำให้ไรเดอร์คนตัวเล็กเช่าจักรยานยนต์ไฟฟ้าราคาถูก และสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ในพื้นที่สำคัญ โดยใช้สาขาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์”

ส่วนการผลักดันธุรกิจให้ลดปล่อยคาร์บอน ปัจจุบันทำไปแล้ว 5 เซ็กเตอร์ ได้แก่ กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ กลุ่มถ่านหิน กลุ่มซีเมนต์ กลุ่มอะลูมิเนียม และกลุ่มพลังงาน และต่อไปจะโฟกัสในกลุ่มขนส่ง และรถยนต์ โดยจะทำในเซ็กเตอร์ที่มีความพร้อม ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนเรื่องนี้ 2 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 แต่ผ่านไป 2 ปีทำได้เกือบ 1 แสนล้านบาท สะท้อนว่าลูกค้าให้ความร่วมมือกับธนาคาร

วิทัย รัตนากร
วิทัย รัตนากร

“ออมสิน” มุ่งสู่ความยั่งยืน

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในหัวข้อ “Social Bank ฉบับออมสิน” ว่า แนวทางของธนาคารออมสินทุกวันนี้ คือการมุ่งไปสู่ปลายทางเรื่องของความยั่งยืน หรือ Sustainability เป็นธนาคารเพื่อสังคม สร้างกำไรที่เหมาะสมพอดี ดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม

เน้นใช้กลไกการสร้างคุณค่าร่วม หรือ CSV : Creating Shared Value โดยทำธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับการช่วยแก้ปัญหาสังคมให้ยั่งยืน โดยตั้งเป้าปรับลดกำไรลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม นำกำไรจากธุรกิจมาสนับสนุนภารกิจเชิงสังคม

ใช้ ESG ช่วยคน-ช่วยรัฐ

ธนาคารออมสินปรับเป็น Social Bank 4 ปี ตรงไปตรงมา เป้าหมายคือต้องการที่จะบรรเทาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการเงิน สร้างการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม ซึ่งเป็นปัญหาทางโครงสร้างจริง ๆ โดยธนาคารออมสินจะพยายามบรรเทาให้ได้มากที่สุด แปลว่ามันเริ่มต้นจากขาดทุน แต่ขาดทุนที่มีกำไรมาช่วยเหลือคนได้

โดย ESG ของออมสินจะเน้น S คือ ช่วยคนผ่านโครงการต่าง ๆ ทำงาน Social อย่างจริงจัง เพื่อขยายผลการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อสังคม (Social Impact) โดยทำ 3-4 เรื่องเป็นหลัก คือ ดึงคนเข้าระบบการเงิน แก้หนี้ และพัฒนาชุมชน และล่าสุดเดินหน้าอีก 1 ภารกิจ คือ สนับสนุนภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ

“สิ่งที่ออมสินทํา คือไม่ต้องกําไรเยอะมาก ทำกําไรให้เหมาะสม ให้พอดี ยังคงภารกิจในการส่งเงินให้รัฐบาล และไม่ต้องพึ่งงบประมาณของรัฐ สนับสนุนภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ เป้าหมาย 2 ล้านคนใน 4 ปี”

จิรโรจน์ พจนาวราพันธ์
จิรโรจน์ พจนาวราพันธ์

SC Grand สร้างมูลค่าเพิ่ม

นายจิรโรจน์ พจนาวราพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสงเจริญแกรนด์ จำกัด (SC Grand) กล่าวว่า บริษัทเป็นรุ่นที่ 3 ที่นำขยะสิ่งทอจากกลุ่มอุตสาหกรรมมาผ่านกระบวนการรีไซเคิลแล้วมาทำเป็นผ้า เป็นการต่อยอด หลังเบนเข็มสู่ ESG เต็มรูปแบบ

“จุดเปลี่ยนปี 2562 เรา Recycle และ Upcycle เพื่อหาทางเลือกใหม่ แต่ไม่ทิ้งโรงงาน เพราะคุณยายพูดเสมอ บ้านเราทำขยะให้เป็นทองได้ โดยทำผ้าเก่าให้เป็นผ้าใหม่ เช่น รับรีไซเคิลเสื้อผ้ายูนิฟอร์มเก่าของการบินไทย ผลิตเป็นเสื้อโปโลกว่าหมื่นตัว และร่วมมือกับอีกหลายแบรนด์ เพราะอนาคตชัดเจนว่า ESG คือโอกาส ไม่ใช่ต้นทุนเสมอไป เราแค่สร้างกลยุทธ์ให้แข็งแรงเท่านั้น”

ชลากร เอกชัยพัฒนกุล
ชลากร เอกชัยพัฒนกุล

โอ้กะจู๋ มอง ESG คือวิถี

นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไม่ได้มอง ESG เป็นทางเลือก แต่มองว่าเป็นวิธีที่ทำให้เราอยู่ได้อย่างมั่นคง บวกกับวิถีออร์แกนิกจะช่วยให้เกษตรกรมีทางเลือก โดยผสมผสานเกษตรสมัยใหม่ เน้นปลอดสารเคมีตามเทรนด์โลก

สาเหตุของ PM 2.5 และน้ำท่วมในภาคเหนือมาจากการเผาป่าและภูเขาหัวโล้น เรามีเจตนารมณ์อยากรักษาป่าต้นน้ำ เพราะคุณพ่อปลูกฝังเรื่องรักษ์ธรรมชาติมาตั้งแต่เด็ก เลยชวนเกษตรกรมาปลูกผักออร์แกนิกแล้วเรารับซื้อ ล่าสุดมีเครือข่ายกว่า 100 ครัวเรือน เราสอน Know How ให้หมด ทำมา 7-8 ปีแล้ว ทุกคนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้น ส่งลูกเรียนได้

ปัจจุบันบริษัทมี 3 แบรนด์ คือ โอ้กะจู๋, Ohkajhu Wrap & Roll และ Oh Juice สาขาแรก “โอ้กะจู๋” เปิดที่เชียงใหม่ บ้านเกิด และขยายสู่กรุงเทพฯ ตามปั๊มน้ำมัน ปตท. ห้างและศูนย์การค้าหลายแห่ง