ผู้นำผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่สุดในภูมิภาค “ซีเค พาวเวอร์” มุ่งพลังงานสะอาดเพื่ออนาคตยั่งยืน เผยครึ่งปีแรกของปี 2567 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าค่ากลาง 83% เร่งพัฒนานวัตกรรมลดการใช้พลังงาน-เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า เดินหน้าสร้างองค์กรต่อเนื่อง สู่เป้าหมาย CKP NET ZERO EMISSIONS 2050
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP หนึ่งในผู้นำการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค และมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานปี 2566 ด้านการจัดการพลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บริษัทปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 0.0691 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่า (tCO2e) ต่อการผลิตไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh)
ซึ่งต่ำกว่าค่ากลางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Thailand Grid) ที่ 0.4999 tCO2e/MWh ถึง 86% และในครึ่งปีแรกของปี 2567 ต่ำกว่า 83% ทั้งนี้ คาดการณ์ตลอดปี 2567 จะต่ำกว่าค่ากลางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อการผลิตไฟฟ้าของประเทศถึง 87%
ทั้งนี้ บริษัทได้พัฒนานวัตกรรมลดการใช้พลังงาน รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า และกระบวนการต่าง ๆ ภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง ในช่วงตลอดการดำเนินงานของปี 2566 โดยสามารถลดการใช้พลังงานได้ทั้งหมด 5,101 MWh (ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2,051 tCO2e)
หรือหากเทียบกับโครงการกรุงเทพฯ ปิดไฟ (Earth Hour 2024) 1 ชั่วโมง เท่ากับ 186 ชั่วโมง และช่วง 6 เดือนแรกในปี 2567 บริษัทลดการใช้พลังงานได้ถึง 2,883 MWh (ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1,313 tCO2e) หรือหากเทียบกับโครงการกรุงเทพฯ ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เท่ากับ 119 ชั่วโมง นับเป็นส่วนสำคัญในภาคการผลิตไฟฟ้าที่ช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
นายธนวัฒน์ย้ำว่า เรามีความมุ่งมั่นในการเดินหน้าสู่เป้าหมายตามแผนงาน CKP NET ZERO EMISSIONS 2050 เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่สามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 งานสำคัญ ๆ ที่ทำให้ ซีเค พาวเวอร์ บรรลุเป้าหมาย คือการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตไฟฟ้า
โดยได้วางแผนระยะยาว มุ่งเน้นขยายการลงทุนในโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การศึกษาการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงไฮโดรเจนผสมก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของไทยตามร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP 2024)
และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการผลิตไฟฟ้าได้ดีกว่าเป้าหมาย 0.86% นอกจากการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าแล้ว บริษัทได้มีการปรับใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายในองค์กรเพิ่มขึ้น เช่น การเปลี่ยนมาใช้รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าและรถไฮบริดในการขนส่งภายในสำนักงาน รวมทั้งโรงไฟฟ้าในเครือด้วย
“เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซีเค พาวเวอร์ ได้เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เรามีกำลังการผลิตติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนที่ 89% วันนี้เราสามารถเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนได้ถึง 93% รวมถึงผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดส่งให้กับประเทศไทย 8.5 ล้านเมกะวัตต์-ชั่วโมง หรือ 17% ของไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่ใช้ในไทย ทำให้ปี 2566 บริษัทช่วยหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 4.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า” นายธนวัฒน์กล่าว
CKPower ได้รับการประเมินจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ได้ SET ESG Ratings ที่ AAA ซึ่งเป็นเรตติ้งระดับสูงสุด เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
ส่วนกลยุทธ์สู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์นั้น ตามแผนจะลดการใช้พลังงานในทุกหน่วยงาน เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการผลิตไฟฟ้า จัดทำโครงการอนุรักษ์พลังงานต่อเนื่อง โดยแผนระยะยาวจะมุ่งขยายการลงทุนโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การศึกษาการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงไฮโดรเจนผสมก๊าซธรรมชาติ สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของไทยตามร่างแผน PDP 2024
เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 95% ภายในปี 2586
เพิ่มการใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในองค์กรแบบ 100% รวมทั้งการใช้ใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่คงเหลือภายในปี 2586
เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ขยายการลงทุนสีเขียว เตรียมพร้อมประยุกต์การใช้กลไกการกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing) และขยายธุรกิจใหม่ที่มุ่งใช้เทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียนที่ทันสมัยระดับโลก