
Mitsubishi Electric ประเทศไทย จัดงาน Sustainable Building Collaboration 2024 พร้อมประกาศความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เดินหน้าสร้างอีโคซิสเต็ม (Ecosystem) ตอบโจทย์เทรนด์ “อาคารสีเขียว” ด้วยโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์อัจฉริยะครบวงจรจาก Mitsubishi Electric และพันธมิตร เพื่อผลักดันไทยพิชิตเป้าหมาย Net Zero Emission อย่างยั่งยืน
นายเทสึยะ ชิโนะฮารา กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อิเล็คทริค เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวคิดการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน เราสนใจระบบอัตโนมัติที่ใช้ในการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ที่ต้องร่วมกันลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศและเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน

โดย Mitsubishi Electric พร้อมทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายไปด้วยกัน โดยวางกลยุทธ์ 5 ด้าน อาทิ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ความมั่นคงและปลอดภัย (Safety/Security) การร่วมมือกัน (Inclusion) และการมีคุณภาพชีวิตที่ดี (Well-being)
โดยนำแนวคิดวิศวกรรมดิจิทัลแบบหมุนเวียน “Circular Digital-Engineering” มาใช้ ช่วยสร้างมูลค่าทางสังคมและเศรษฐกิจ เชื่อมโยงองค์ความรู้สู่ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างคุณค่าใหม่ ทั้งได้ออกแบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม Serendie เป็นระบบกลางในการบริหารจัดการข้อมูลและความร่วมมือของในกลุ่ม และรวมถึงพันธมิตรเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายตามแนวทาง Circular Digital-Engineering อีกด้วย
นางสาวภคมน สุภาพพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศจำนวนมาก จากนี้ไปต้องมีการรายงานอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรในทุกปี
ตามบทบัญญัติใน พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ถ้าผลิตภัณฑ์ใดมีค่าการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์มากก็ต้องเก็บภาษีมากขึ้นตามไปด้วย พ.ร.บ.นี้คาดว่าจะประกาศใช้อย่างช้าที่สุด คือ ปี 2025 และเพื่อเป็นตัวช่วยให้กับผู้ประกอบการไทย
ปัจจุบัน อบก.ได้พัฒนาเครื่องมือให้องค์กรนำไปประยุกต์ใช้ในการลดคาร์บอน มุ่งสู่ Net Zero ทั้งช่วยลดต้นทุน เร่งสร้างกลไกการรับรองคาร์บอนฟุตพรินต์ทั้งในระดับองค์กร และในระดับผลิตภัณฑ์ การรับรองในส่วนของคาร์บอนเครดิต ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์โลก
ดังนั้น อุตสาหกรรมการผลิตของไทยต้องเร่งปรับตัวกับเทรนด์นี้ ถ้าอยากส่งสินค้าไปยังประเทศในกลุ่มที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม EU ส่วนกระแสอาคารสีเขียวก็มีส่วนช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตั้งแต่งานก่อสร้างไปจนถึงการใช้งานตัวอาคาร ที่ผ่านมามีผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างหลายแบรนด์มาขอขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพรินต์สำหรับผลิตภัณฑ์เศรษฐกิจหมุนเวียนกันอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นเรื่องดี
นายฮิโรกิ นิชิยามะ ผู้จัดการระดับโลกด้านการตลาดศูนย์ข้อมูล Mitsubishi Electric Corporation ได้ส่งต่อภาพสำคัญของการสร้าง Net Zero Energy Building ที่เป็นไปได้ด้วยการบูรณาการทุกโซลูชั่นอัจฉริยะของ Mitsubishi Electric Corporation ว่า SUSTIE หรือ Net Zero Energy Building (ZEB)
เป็นอาคารที่ Mitsubishi Electric Corporation ได้ออกแบบมาตอบสนองเรื่องการประหยัดพลังงานและสุขภาวะที่ดี ด้วยการวางระบบตรวจวัดอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยังมีการวางระบบอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยี IOT
เพื่อคุมระบบเครื่องปรับอากาศให้ใช้งานคุ้มค่าที่สุด มีหน้าจอแสดงปริมาณการใช้พลังงานในตัวอาคาร ปริมาณพลังงานทดแทนที่สร้างขึ้นจากการใช้ Solar Panel ไปจนถึงปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นในอาคาร
หากตรวจพบว่า มีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากมีคนจำนวนมากในห้องหรือพื้นที่นั้น ๆ ผู้ดูแลอาคารจะทราบได้ทันที ที่สร้าง SUSTIE ขึ้นก็เพื่อเร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับระบบ ZEB และให้ SUSTIE เป็นต้นแบบ
จุดเด่นสำคัญคือต้องเป็นอาคารที่ใช้พลังงานลดลงจากอาคารปกติ และผลิตพลังงานได้เอง โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ มีความสมดุลระหว่างพลังงานที่ผลิตเองและพลังงานที่ใช้ไป ต้องบวกลบกันแล้วได้ค่าที่ศูนย์
ซึ่งจุดแข็งของ Mitsubishi Electric คือมีอุปกรณ์และระบบที่ประหยัดพลังงานได้ในระดับสูง อาทิ ระบบการระบายอากาศ Lossnay ที่ลดความแตกต่างของอุณหภูมิที่วัดค่าจากอุณหภูมิในตัวอาคารและภายนอกอาคาร ระบบลิฟต์ และส่วนของฮาร์ดแวร์ด้วย
นายจามร วงศ์สุขเสมอใจ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่าย บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด กล่าวว่า ระบบปรับอากาศเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในอาคาร โดยเฉพาะเครื่องทำน้ำเย็น หรือ Chiller ซึ่ง มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา ได้พัฒนาเครื่องทำน้ำเย็นที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้แบรนด์ CLIMAVENETA
จุดเด่นอยู่ที่ ระบบ Oil Free Magnetic Bearing Centrifugal Chiller เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ไม่ใช้น้ำมันหล่อลื่นใน Chiller จึงมีประสิทธิภาพสูงกว่า Chiller แบบเดิม และทำความเย็นได้สูงสุดถึง 2,000 ตัน ด้วยองค์ประกอบของการใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
และอีกหนึ่งสินค้าไฮไลต์ คือ ระบบปรับอากาศ VRF ที่ได้รับการพัฒนาเป็นโมเดลเด่นของปี 2024 ที่ได้รับการรับรองประสิทธิภาพจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 รักษ์สิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 3,722 กิโลกรัมต่อปี