
ปัจจุบันประเทศไทยประสบวิกฤตสัตว์น้ำลดลงกว่า 60% ในช่วงปี 2554-2563 อันมีที่มาจากเครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมาย ทำให้ทะเลเสื่อมโทรม และชาวบ้านไม่สามารถทำประมงได้อีกต่อไป
ด้วยวิกฤตดังกล่าว ชาวประมงบ้านทุ่งน้อยได้มีการต่อสู้กันมาอย่างยาวนานนับรุ่นสู่รุ่น เมื่อก่อนใครมีต้นทุนสูงจะสามารถจับสัตว์น้ำในทะเลแบบกอบโกย ปราศจากความยับยั้งชั่งใจ สามารถจับได้ทุกสายพันธุ์ ทุกขนาด เป็นที่มาว่าทำไมถึงมีผู้ประกอบการที่สามารถรวยได้ก่อน จนอยู่บนสุดของธุรกิจ
เป็นต้นตอที่ทำให้ชาวประมงทุกวันนี้ไม่สามารถร่ำรวยได้จากการจับสัตว์น้ำ ณ วันนี้ สัตว์น้ำเศรษฐกิจมีอัตราลดลงกว่า 80% อันได้แก่ ปลาทู ปูม้า หมึกกล้วย และกุ้งแชบ๊วย นำพามาซึ่งคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรให้ปลากลับมา ?
ซึ่งการเรียกร้องที่ผ่านมา ได้มีการต่อสู้กับกฎหมาย ต่อสู้กับการทำประมงที่ลักลอบจับปลาในฤดูปลาวางไข่ ต่อสู้กับการทำประมงที่ย่อขนาดตาอวนให้สามารถจับลูกปลาได้มากขึ้น เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและยั่งยืนต่อท้องทะเลไทย
แต่การเรียกร้องเหล่านี้กลับไม่สัมฤทธิผล เพราะชาวประมงเสียรายได้จากการละเว้นงานไปยื่นหนังสือ ไปประท้วง ไปเรียกร้องสิทธิของตัวเอง จึงนำพามาสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ ผันตัวมาสู่การทำประมงฟื้นฟู ยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว รวมไปถึงปรับเปลี่ยนจากกลุ่มชาวประมงบ้านทุ่งนาน้อย สู่โมเดลกิจการเพื่อสังคม “คนทะเล” ในที่สุด

ไม่มีใครเหลียวแลผืนน้ำ
กิตติเดช เทศแย้ม ผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคม คนทะเล บอกเล่ากับประชาชาติธุรกิจถึงแนวทางการทำประมงอย่างยั่งยืนว่า มีตัวเลขวิจัยชี้ชัดว่า เรือประมงพื้นบ้านที่ใช้เครื่องมือประมงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถจับปลาที่บริโภคได้สูงถึง 80% แต่เครื่องมือที่ไม่ยั่งยืน สามารถจับได้ทุกอย่าง แต่นำมาบริโภคได้เพียง 20%
เครื่องมือประมงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของคนทะเลมีทั้งหมด 7 ชนิด ได้แก่ ลอบปูม้า ที่จับได้เฉพาะปูม้าและปูดำ (ปูทองหลาง), อวนจับปู ขนาด 4-4.5 นิ้ว ที่ปูโตไม่เต็มวัยสามารถลอดผ่านได้, แหสำหรับหมึกกล้วย-แหช้อนยกหมึกกล้วย ที่ไม่กระทบต่อเต่าทะเลหรือหญ้ากัลปังหา,
ทุ่นจับปลาอินทรีย์จากวัสดุรีไซเคิล, อวนกุ้ง 3 ชั้น, อวนปลากุเลา ตา 3 นิ้วครึ่ง และหอยสังข์จับหมึกสาย ซึ่งทุกชนิดปลอดภัยกับท้องทะเล 100% และสามารถใช้ได้แม้ตอนปิดหาด เพราะไม่สร้างผลกระทบใด ๆ ต่อสัตว์น้ำที่ยังเติบโตไม่เต็มที่
“ทุกคนสามารถเริ่มง่าย ๆ จากการกินสัตว์น้ำเพื่อความยั่งยืน เพราะส่งผลถึงคนรุ่นถัด ๆ ไป ถ้าเราปรับปรุงตั้งแต่คนจับ คนซื้อ และคนกิน จะสามารถเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่เศรษฐกิจประเทศไทยและสร้างความมั่นคงทางอาหารได้อย่างยั่งยืน” กิตติเดชกล่าวย้ำ

ซั้งกอ บ้านปลาจากธรรมชาติ
ส่วนสำคัญคือการทำบ้านปลา หรือซั้งกอ ทุก ๆ 5 ไมล์ทะเล เพื่อให้ปลามีบ้านพัก มีที่วางไข่ เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ ให้แพลงก์ตอนมาเกาะระหว่างซี่ทางมะพร้าว เป็นแหล่งให้ปลาใหญ่กินปลาเล็กตามระบบนิเวศธรรมชาติเล็ก ๆ ซึ่งพบสัตว์น้ำราว ๆ 4-5 ชนิด ได้แก่ กุ้ง ปลา ปูม้า หอย และปลาเก๋า
ซั้งกอของคนทะเล เป็นบ้านปลาออร์แกนิกเกือบ 100% ที่แรกของไทย ทำมาจากไม้ไผ่ในพื้นที่ ทางมะพร้าว และเชือก ส่วนที่ถ่วงน้ำหนักจะเป็นปูนซีเมนต์ เพื่อช่วยทำลายแหจากการทำประมงที่ไม่ยั่งยืนเมื่อครูดไปกับผิวน้ำ
ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำในชุมชนถึง 3 เท่า หรือราว 20-50 กิโลกรัมต่อวัน
(จากเดิม 15 กิโลกรัม) ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาชีพให้กับชาวประมงและชุมชนบ้านทุ่งน้อย ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น มีเวลาให้ครอบครัวมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
ประมงพื้นบ้าน & ประมงพาณิชย์
ปัจจุบันประมงพื้นบ้านมีการขึ้นทะเบียนเรือราว ๆ 50,000 ลำ สามารถจับสัตว์น้ำโตเต็มวัยได้เพียง 20% แต่ประมงพาณิชย์มีการขึ้นทะเบียนทุกลำ เป็นจำนวนหลายหมื่นลำ ซึ่งจับสัตว์ในท้องทะเลไปแล้วกว่า 80%
ซึ่งสมาคมประมงพื้นบ้านมีการรวมกลุ่มกันในการจับตาดูเครือข่ายประมงผิดกฎหมาย ในการร้องเรียนและช่วยกันปกป้องผืนน้ำ รวมไปถึงการช่วยกันสร้างซั้งกอ เพิ่มประชากรปลาอย่างยั่งยืน
กิตติเดชย้ำอย่างชัดเจนว่า อยากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ในการดำเนินนโยบายไม่จับสัตว์น้ำวัยอ่อน โดยเฉพาะมาตรา 57 ห้ามมิให้ผู้ใดจับสัตว์น้ำหรือนำสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็กกว่าที่รัฐมนตรีประกาศ
แก้ปัญหาโดยการไม่ต้องยุ่งกับเครื่องมือ เพียงกำหนดขนาดสัตว์ที่สามารถจับได้ รวมไปถึงการสนับสนุนประมงยั่งยืน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและสร้างอาชีพประมงให้ต่อเนื่องในอนาคต
“ปัญหาประมงพาณิชย์ เป็นส่วนที่กฎหมายที่ต้องเร่งแก้ไขพอ ๆ กับเรื่องการศึกษา เหมือนเราเลี้ยงลูก แล้วลูกกำลังจะโต กำลังจะออกไปใช้ชีวิต แต่กลับถูกเครื่องมือประมงที่กวาดทุกอย่างเข้าไปในแห หากไม่แก้ไขตรงนี้อาจทำให้ทะเลเหลือเพียงแต่น้ำ”
สิ่งใหญ่ที่สุดคือเรื่องสุขภาพ เช่น ฟอร์มาลิน แต่ประมงพื้นบ้านออกทะเลต่อวัน อาหารที่กินคือสัตว์ที่ตายเมื่อวาน เป็นเรื่องสำคัญที่สามารถแปรพลังจากผู้บริโภคมาเป็นพลเมือง ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกในการขับเคลื่อนความมั่นคงทางอาหาร และผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจฐานรากที่เข้มแข็ง
ผลลัพธ์เหล่านี้ไม่เพียงส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนเท่านั้น แต่ยังสร้างอิมแพ็กต์ในระดับประเทศ ทั้งในมิติการท่องเที่ยว ระบบนิเวศทางทะเล และการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอีกด้วย