
ปี 2568 ความยั่งยืนจะยังคงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ซึ่งจะส่งผลต่อธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมในประเทศ อาทิ การปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ภาระผูกพันจากการประชุม COP30 สนธิสัญญาพลาสติกโลก
นอกจากนี้ มาตรการในประเทศที่จะเพิ่มความเข้มงวด ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ภาคธุรกิจดำเนินการลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน อาทิ ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาด UGT1 การห้ามนำเข้าเศษพลาสติก เป็นต้น
“จักรี พิศาลพฤกษ์” เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง จะได้รับผลกระทบทางตรงจากเรื่องดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ดี อานิสงส์ของการเปลี่ยนตลาดการส่งออกของจีน และการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐ ทดแทนสินค้าจีน จะส่งผลดีต่อผู้บริโภคในประเทศ และอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกในระยะสั้น โดยเฉพาะกับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นโยบายต่างประเทศที่กระทบไทย
มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU CBAM)ผู้นำเข้าสินค้าเป้าหมายตามมาตรการ CBAM จะต้องเสียค่าธรรมเนียมราว 80 ยูโร (ประมาณ 2,800 บาท) ต่อปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ตัน ที่เกิดจากการผลิตสินค้าดังกล่าว
ในปี 2568 จะเป็นปีสุดท้ายของการดำเนินการเฟสแรก (Phase 1 : Transitional Phase) ของมาตรการ CBAM ที่ผ่อนผันให้แค่รายงานผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น และจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียม CBAM Certificate ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
โดยสหภาพยุโรปจะทยอยประกาศระเบียบข้อบังคับ และแนวปฏิบัติ อาทิ การเข้าไปรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผู้ผลิตสินค้าดังกล่าวในระบบ เพื่อส่งข้อมูลไปยัง EU ได้โดยตรง รวมถึงแนวปฏิบัติอื่น ๆ ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบภายในปีนี้
ความร่วมมือระดับโลก COP30
ในเดือนพฤศจิกายน 2568 จะมีการประชุม COP30 ซึ่งจะกำหนดให้ทุกประเทศส่งแผน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใหม่ โดยเพิ่มความพยายามในการลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศอื่น ๆ
เช่น สนธิสัญญาพลาสติกโลก ภาระผูกพันจากการประชุม COP ครั้งก่อน ๆ การเข้าร่วม Climate Market Club ของ World Bank ที่จะส่งผลให้เป้าหมายและแผนการดำเนินการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกของไทยให้มีรูปธรรมมากขึ้น
ผลกระทบจาก Trade War
ไทยมีความเสี่ยงอาจเป็นหนึ่งในประเทศที่อาจถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้น และอาจได้รับผลกระทบจากการไหลทะลักของสินค้าจีน เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐในระดับสูง และแนวโน้มการกีดกันทางการค้ากับประเทศจีนจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์
สินค้าส่งออกที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจได้รับอานิสงส์ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ เป็นต้น ถึงแม้จะโดนกำแพงภาษี แต่น่าจะมีอัตราต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตจากจีนหรือเป็นสินค้าของบริษัทสัญชาติจีน
ประกอบกับอานิสงส์จากการประกาศถอนตัวจากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และการไม่สานต่อมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ ดังเช่น การหยุดสนับสนุนนโยบาย Inflation Reduction Act (IRA) จะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในสหรัฐ ขาดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) และไม่ขยายตัวอย่างที่เคยเป็น
“จักรี” เปิดเผยอีกว่า ผลกระทบต่อประเทศไทยจากอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง จะได้รับผลกระทบทางตรง เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม ซีเมนต์ พลาสติก ซึ่งจะมีความยุ่งยากในการดำเนินการให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการผลิตสินค้าของตนเองให้ได้มาตรฐาน รวมถึงอาจมีต้นทุนค่าธรรมเนียมแก่ประเทศนำเข้าสินค้า และค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบ
ในส่วนผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ ธุรกิจที่ไม่ได้เป็นธุรกิจส่งออกหรือเป็นเป้าหมายของมาตรการ แต่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทที่เกี่ยวข้อง โดยอาจเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับบริษัทที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ดีกว่า
อย่างไรก็ดี ผู้บริโภค และผู้ส่งออกไทยอาจได้รับผลดีในระยะสั้น จากอานิสงส์ของการเปลี่ยนตลาดการส่งออกของจีนและการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐ ทดแทนสินค้าจีน โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น รถยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เป็นต้น
จักรีกล่าวต่อว่า คงต้องติดตามการกำหนดนโยบาย และมาตรการอื่นของไทยที่จะมีเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางและบริบทการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของโลก
4 ข้อเสนอรับมือมาตรการ ตปท.
ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และคาดว่าจะออกกฎหมายรองเพื่อกำหนดมาตรการบังคับใช้ได้ภายในปี 2569 ดังนี้ กำหนดให้ต้องรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และกลไกการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับ ได้แก่ ภาษีคาร์บอน และระบบการให้สิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
กลุ่มธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์ เช่น ธุรกิจบริการประเมิน ตรวจวัด และให้การรับรองคาร์บอนฟุตพรินต์ ธุรกิจพลังงานสะอาด เป็นต้น และกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ เช่น อุตสาหกรรมที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เหล็ก อะลูมิเนียม ซีเมนต์ พลาสติก กลุ่มธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงและเป็นเป้าหมายของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของต่างประเทศ
ไฟฟ้าสีเขียว Utility Green Tariff (UGT) หรือไฟฟ้าพลังงานสะอาด ซึ่งสามารถใช้เพื่อลด Carbon Footprint ใน Scope ที่ 2 สามารถซื้อได้โดยเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มในอัตรา 0.0527-0.0594 บาท/หน่วย ซึ่งได้รวมค่าใบรับรองการผลิตไฟฟ้าสีเขียว (REC) ในรูปแบบไม่เจาะจงแหล่งที่มา (UGT1) นอกจากนี้ ในระยะถัดไปจะมีไฟฟ้าสีเขียวแบบเจาะจงแหล่งที่มา (UGT2) ที่สามารถระบุแหล่งที่มาของไฟฟ้าได้ โดยจะอยู่ในรูปแบบสัญญาระยะยาว
แผนพัฒนาพลังไฟฟ้า (Power Development Plan : PDP) ฉบับใหม่ ที่จะเน้นผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในสัดส่วนมากขึ้นเป็น 51% (พลังงานแสงอาทิตย์ 16% พลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ 16% และพลังงานน้ำจากต่างประเทศ 15%) ที่จะนำเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไปเป็นปัจจัยกำหนดนโยบายการผลิตไฟฟ้าของประเทศสำหรับช่วงปี 2567-2580
กลุ่มธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าขยะชุมชน ธุรกิจที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจพัฒนาและวิจัยแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงาน
กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น พระราชบัญญัติอากาศสะอาด กฎหมายควบคุมมลพิษทางอากาศ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและจัดการขยะพลาสติก ที่จะคอยควบคุมการดำเนินการของโรงงานและธุรกิจเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จะเข้มงวดมากขึ้น