
BMZ-กองทุนภูมิอากาศสีเขียว ร่วมกับภาคีเครือข่ายไทยเดินหน้าปฏิรูปการปลูกข้าว ด้วยเงินทุนสนับสนุนรวม 118 ล้านยูโร หรือ 4.181 พันล้านบาท ภายใต้โครงการเพิ่มศักยภาพการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ (Thai Rice : Strengthening Climate-Smart Rice Farming Project) ส่งเสริมศักยภาพเกษตรกรไทย 253,400 ราย ใน 21 จังหวัด ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.44 ล้านตันคาร์บอนภายในปี 2571
ดร.ทีโม เมนนิเคน ผู้อำนวยการ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า โครงการเพิ่มศักยภาพการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ ประสานความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนภูมิอากาศสีเขียว กระทรวงเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMZ) ผ่านโครงการ develoPPP และทุนสมทบจากพันธมิตรจากภาคเอกชนในระดับนานาชาติ ได้แก่ เอโบรฟู้ดส์ (Ebro Foods) มาร์ส ฟู้ด (Mars Food) โอแลม อะกริ (Olam Agri) และเป๊ปซี่โค (PepsiCo)
นอกจากนี้ ยังผนึกความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงาน อาทิ กรมการข้าว และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.), ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), สถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ (IRRI) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ)
โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนวิถีการปลูกข้าวในประเทศไทยไปสู่การปลูกข้าววิถีใหม่ผ่านการนำเทคโนโลยีทางการเกษตรที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ (Climate-Smart Agriculture) มาปรับใช้เพื่อยึดถือเป็นแนวทางในการปลูกข้าว โดยคาดการณ์ว่า แนวทางนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เพิ่มรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และส่งเสริมความเข้มแข็ง ของระบบนิเวศการตลาดในภาคการปลูกข้าว ในระยะเวลาการดำเนินโครงการ 5 ปี (2567-2571)
โครงการนี้ยังมุ่งหวังส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวสามารถเข้าถึงและนำ 10 เทคโนโลยีการเกษตรที่เท่าทันต่อภูมิอากาศมาปรับใช้ กับการจัดการพื้นที่นาและพื้นที่เกษตรของตน ได้แก่ การจัดการน้ำระดับแปลงนา การปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ การจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง การจัดการฟางและตอซัง การจัดการธาตุอาหารในนาข้าว การใช้พันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และสภาพภูมิอากาศ การหว่านหรือหยอดข้าวแห้ง การจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน ระบบการปลูกพืชที่มีข้าวเป็นพืชหลัก และการใช้ข้อมูลพยากรณ์อากาศสำหรับการเพาะปลูก
เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังเสริมศักยภาพในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมการเกษตร ตลอดจนการเข้าถึงช่องทางการสนับสนุนทางการเงิน เพื่อประโยชน์ต่อทั้งเกษตรกรรายย่อย ครัวเรือน ชุมชนและภาคส่วนการปลูกข้าวไทยในระยะยาว
โดยงานเปิดตัวโครงการในครั้งนี้ จัดขึ้นที่โรงแรมอีสติน แกรนด์พญาไท ภายใต้แนวคิด “Rice is More : More Vision, More Action, More People Benefitting” มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือและสร้างพลังขับเคลื่อนร่วมกัน เพื่อขยายแนวทางการประยุกต์ใช้การเกษตรที่เท่าทัน ต่อภูมิอากาศให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าวหลักทั่วประเทศ
นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงาน จากภาคส่วนต่าง ๆ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิด ผ่านการเสวนาเชิงนโยบาย รวมถึงโอกาสการลงทุนในภาคการผลิตข้าวของไทย เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคการปลูกข้าวไทย ได้มารวมตัวและเสริมสร้างความร่วมมืออันเป็นหนึ่งเดียวกัน
กิจกรรมครั้งนี้ยังเป็นเวทีกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายของทุกภาคส่วน เพื่อวางแผนการดำเนินงานเชิงลึกในพื้นที่ 21 จังหวัดของโครงการ ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวหลักของประเทศไทย มีผู้เข้าร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกข้าว ประกอบไปด้วยตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ตัวแทนเกษตรกร และสถาบันวิจัยประมาณ 200 คน
ดร.แอ็นสท์ ไรเชิล เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย กล่าวเปิดงาน พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
“วันนี้ผมยินดีที่ได้เห็นรัฐบาลไทย องค์กรภาคีระหว่างประเทศ ภาคเอกชน และตัวแทนเกษตรกรได้มารวมตัวกันภายใต้วิสัยทัศน์เดียวกัน ไม่มีหน่วยงานใดที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เพียงลำพัง การจะบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และนำประโยชน์มาสู่ทั้งผู้คนและสิ่งแวดล้อมได้ จำเป็นต้องอาศัยแนวทางการแก้ปัญหาที่มาจากความร่วมมือ การแลกเปลี่ยนความรู้และความมุ่งมั่นที่จะทำตามเป้าหมายในระยะยาวร่วมกัน”
นายอานนท์ นนทรีย์ รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวคิด “Rice is More” สะท้อนความมุ่งมั่นของโครงการในการยกระดับผลผลิตข้าวและคุณภาพชีวิตเกษตรกร สร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศทางการตลาดของข้าวไทย
“Rice is More คือวิสัยทัศน์ของการทำให้ข้าวไทยก้าวไปข้างหน้ามากกว่าเดิม ข้าวไม่ได้เป็นเพียงแค่พืชเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน เราต้องทำให้ข้าวไทยเป็นตัวแทนของ คุณภาพมาตรฐานและนวัตกรรม เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับเกษตรกรไทย ที่พร้อมแข่งขันในตลาดโลก”
ดร.ทีโม เมนนิเคน ผู้อำนวยการ GIZ ประจำประเทศไทยกล่าวตอนท้ายว่า ความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จะทำให้วิถีการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศได้รับการยอมรับ และนำมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติหลักของภาคการปลูกข้าว เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรควบคู่ไปกับการป้องกันภาวะโลกร้อนในอนาคตต่อไป”