
“มิซุอิกุ” ผู้พิทักษ์รักษ์น้ำ (Mizuiku Water Hero Camp) เป็นกิจกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อมที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดย “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย)” จับมือกับ “ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย)”
ไม่มีน้ำ ไม่มีเรา
ภายใต้เป้าหมายเพื่อตอกย้ำให้เยาวชนอายุ 10-13 ปี ตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำ ผ่านแนวคิด “ไม่มีน้ำ ไม่มีเรา”
ร่วมมือกับศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาและภาคีหน่วยงานภาครัฐ จัดกิจกรรมมุ่งเน้นให้เยาวชนเข้าใจถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำ วัฏจักรน้ำ และปัญหาน้ำในแต่ละพื้นที่ ผ่านการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ที่ผสมผสานความรู้และความสนุกสนานเข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้ห้องเรียนธรรมชาติของจังหวัดชลบุรี

“โอเมอร์ มาลิค” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประเทศไทยและอินโดไชน่า บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด เปิดเผยว่า สถานการณ์ด้านทรัพยากรน้ำในประเทศไทยทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม และมลพิษทางน้ำ
“น้ำ” เป็นหนึ่งในหัวใจหลักของธุรกิจ ด้วยแนวคิดนี้ บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมการสนับสนุนจากบริษัท ซันโทรี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด จึงได้ร่วมมือกันจัดทำโครงการวัน ซันโทรี่ มิซุอิกุ : เรารักษ์น้ำ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกและมอบองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำให้แก่เยาวชน
ในปี 2567 ที่ผ่านมา ได้ส่งมอบองค์ความรู้ให้แก่เยาวชน 8,115 คน และคุณครู 270 คน จาก 30 โรงเรียนในจังหวัดชลบุรีและระยอง อีกทั้งสนับสนุนให้เยาวชนนำความรู้ไปบูรณาการโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในมิติต่าง ๆ ของโรงเรียนเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
“เป็นการปลูกฝังเยาวชนให้เรียนรู้และเข้าใจเรื่องทรัพยากรผ่านห้องเรียนธรรมชาติ ผ่านการรวมจุดเด่นของ 2 ธุรกิจ เป็นการขยายขอบเขตธุรกิจแบบดับเบิล โดยเริ่มจากจังหวัดที่มีโรงงานผลิต และอยู่ในบริเวณใกล้แหล่งน้ำ เริ่มต้นที่จังหวัดระยอง ชลบุรี และจะต่อยอดไปยังจังหวัดสระแก้วในปีต่อไป”

ตีโจทย์แก้ปัญหามลพิษทางน้ำ
“ทานุจ ชาดา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยในส่วนของการดำเนินงานว่า โครงการมีเงื่อนไขในการวัดผลจากโรงเรียน 4 ข้อ ได้แก่ ต้องมีนโยบายอนุรักษ์น้ำ-สิ่งแวดล้อม, มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน, มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการขยายผลสู่ชุมชนโดยรอบ
หลังจากนั้นจะมอบหมาย 2 โจทย์ ในการแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำ และการอนุรักษ์น้ำ โดยน้อง ๆ ต้องตั้ง “มิซุอิกุคลับ” ขึ้นในโรงเรียนด้วย และค่อยนำกลับมาพรีเซนต์ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568
โดยจะคัดเลือกจาก 30 โรงเรียน เหลือ 10 โรงเรียน และเฟ้นหาผู้ชนะ 1 โรงเรียนสุดท้าย/จังหวัด ซึ่งตัวแทนโรงเรียนที่ชนะจะได้เดินทางไปทัศนศึกษาเพื่อเรียนรู้ต้นกำเนิดของโครงการ “มิซุอิกุ” ณ ประเทศญี่ปุ่น
“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่สร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายให้ทุกคนกลายเป็นผู้พิทักษ์รักษ์น้ำ รวมถึงนำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปเผยแพร่ให้กับเพื่อน ๆ ในโรงเรียน ครอบครัว และชุมชนต่อไป”

อเล็กซานเดอร์ ไซมอน เรนเดลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารศูนย์การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Education Centre หรือ EEC) เปิดเผยว่า ส่วนของการทำค่ายเยาวชนว่า EEC มีหลักสอนให้คิดเกิดเป็นผลสำเร็จ และการเรียนรู้ในรูปแบบบูรณาการผ่านฐานต่าง ๆ
ตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ และทะเล เช่น เรียนรู้บทบาทและความสำคัญของป่าต้นน้ำ, สำรวจระบบนิเวศพื้นที่กลางน้ำ, ศึกษาระบบนิเวศของป่าชายเลน และตระหนักถึงความสำคัญของทะเล
ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กรมทรัพยากรน้ำ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะที่ปรึกษาโครงการและร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินผลงานการประกวด
ต่อยอดสร้างสายสัมพันธ์
“การตั้งมิซุอิกุคลับ เป็นการต่อยอดพื้นที่รักษ์น้ำขยายออกไป สร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ในปีนี้มีสมาชิกกว่า 600 คน มาร่วมสร้างส่วนหนึ่งของการศึกษาในชุมชนอย่างยั่งยืน”
อเล็กซานเดอร์กล่าวต่อว่า ในระดับโลกอย่างประเทศเวียดนาม มีการประสานเนื้อหาเข้าไปในหลักสูตร เพื่อให้เกิดการต่อยอดและเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง
ในส่วนของการวัดผล มีข้อสอบในรูปแบบ Pre-Test และ Post-Test เป็นคำถามที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำในชีวิตประจำวัน ซึ่งผลจากการสอบภายหลังการเข้าร่วมกิจกรรมมีเปอร์เซ็นต์ที่ดีกว่าเดิม 6%
นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและการศึกษาชั้นนำมาร่วมถ่ายทอดความรู้ ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้สร้างแรงบันดาลใจและให้คำแนะนำการจัดทำโครงการอนุรักษ์น้ำในโรงเรียน ซึ่งโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้บริษัทได้รับแนวทางแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากไอเดียของเยาวชนเพิ่มอีก 30 โครงการต่อปี
การดำเนินโครงการวัน ซันโทรี่ มิซุอิกุ : เรารักษ์น้ำ จะช่วยวางรากฐานเพื่อนำองค์ความรู้และทักษะที่ได้รับมาปรับใช้ ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และขยายผลด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมไปสู่บุคลากรในโรงเรียนและชุมชนโดยรอบต่อไป