
ถึงแม้ตอนนี้ประเทศไทยยังไม่สามารถวางใจกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ และยังคงต้องใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม จึงทำให้หลายธุรกิจไม่สามารถเปิดทำการได้เป็นปกติ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกองค์กรไม่สามารถนิ่งนอนใจ เพราะผู้นำจำนวนมากมีความเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่องค์กรต้องปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังโควิด-19
สลิงชอท กรุ๊ป จึงนำเครื่องมือ “Futures Platform Radar” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ควบคุมโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI-artificial intelligence) มาช่วยประเมินปรากฏการณ์หลังจากวิกฤตโควิดในแต่ละอุตสาหกรรมออกมาให้เห็นเป็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ทั้งยังมีการอัพเดตข้อมูลให้เป็นปัจจุบันแบบเรียลไทม์ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ ทั้งนั้นเพื่อตอบสนององค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการศึกษา และติดตามแนวโน้ม (trend) ใหม่ ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้บริการลูกค้า และปรับกลยุทธ์ในการรับมือกับสิ่งปกติใหม่ (new normal) ที่กำลังจะเกิดขึ้น หลังจากวิกฤตครั้งนี้ผ่านไป

“อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา” ผู้ก่อตั้ง และกรรมการผู้อำนวยการบริษัท สลิงชอท กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า บริษัทร่วมมือกับสถาบัน The Futures Platform ประเทศฟินแลนด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอนาคตศาสตร์ (futurists) ทำการสำรวจออนไลน์กับซีอีโอ และผู้บริหารระดับสูง โดยเรดาร์ดังกล่าวมีการแสดงผลทั้งแบบระดับโลก และระดับประเทศไทย
“สิ่งที่ทำให้ Futures Platform Radar แตกต่างจากเครื่องมือมองเทรนด์อื่น ๆ คือ เครื่องมือทั่วไปมักเป็นแบบการรายงานผลของปรากฏการณ์ใด ๆ เพียงครั้งเดียว ประกอบด้วยข้อความจำนวนมากในการรายงาน และการเชื่อมต่อของทรัพยากรข้อมูลกระจัดกระจาย แต่เครื่องมือของเราเป็นแบบเรียลไทม์ทำการรายงานเทรนด์อยู่ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ เน้นภาพ และวิดีโอ ทั้งยังมีฟีตเจอร์บนจานเรดาร์ให้กดเลือกดูหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับความสนใจได้ง่าย นอกจากนั้น ยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ เพื่อศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมภายในเครื่องมือเดียว จึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ง่าย และไม่น่าเบื่อ”
“ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 6 สัปดาห์ผ่านมา ก่อนจะมีการเปิดตัว Futures Platform Radar ทางสลิงชอทได้สัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรชั้นนำจำนวน 55 องค์กรในประเทศไทย แบบถ่ายทอดสดออนไลน์บนเฟซบุ๊ก ในโครงการ “รวมพลัง ผู้นำเข้มแข็ง” ระหว่างช่วงกลางเดือนมีนาคมถึงปลายเดือนเมษายน 2563 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่รัฐบาลประกาศให้ทำการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด และจากการสัมภาษณ์ทำให้พบว่าความท้าทายของผู้นำหลายองค์กรคือกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ไม่สามารถนำพาองค์กรไปสู่อนาคตหลังโควิด-19 ได้”
“ผู้คนจำนวนมากมีความเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่องค์กรต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น ตรงนี้จึงเป็นเหตุผลที่เราพยายามผลักดันให้หลายองค์กรนำ Futures Platform Radar มาประกอบในการใช้วางแผน และตัดสินใจในกลยุทธ์ใหม่”
“อภิวุฒิ” อธิบายต่อว่า ข้อมูลบนเรดาร์ในส่วนของประเทศไทยมาจากผลการสำรวจออนไลน์กับซีอีโอ และผู้บริหารระดับสูงขององค์กรในประเทศไทยกว่า 300 คน เกี่ยวกับแนวโน้มของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยหลังวิกฤตโควิด-19 จากนั้นจึงทำการคัดเลือกปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้น 30 ปรากฏการณ์ เพื่อให้ซีอีโอ และผู้บริหารระดับสูงในองค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยโหวตเพื่อเลือก top 10 trends ที่จะส่งผลต่อประเทศไทยมากที่สุด
โดย 10 อันดับแรกของปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยหลังวิกฤตโควิด-19 มีดังต่อไปนี้
หนึ่ง teaching & learning 2.0 – รูปแบบการสอน และการเรียนรู้จะเปลี่ยนไป การสอนที่เน้นความจำ และการหาคำตอบที่ถูกต้องจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เพราะการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีจะมีมากขึ้น การเรียนรู้จากเพื่อน การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เป็นของจริง จะเข้ามาแทนที่
สอง online stores – การซื้อขายออนไลน์จะเติบโตแบบก้าวกระโดดนับแต่นี้เป็นต้นไป
สาม telepresence – การเจอกันแบบไม่เจอตัวจะมีมากขึ้น ไม่ว่าเรื่องงาน เช่น การประชุมออนไลน์ การพบปะพูดคุยกันออนไลน์ หรือเรื่องส่วนตัว เช่น การหาหมอผ่านช่องทางออนไลน์ เป็นต้น
สี่ need for the culture of preparation – ความตื่นตัวในเรื่องของการวางแผนรับมือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักลง ไม่ว่าจะหยุดลงเป็นเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง หรือเป็นเวลาหลายวันก็ตาม เช่น การทำ BCP (busi-ness continuity plan) ที่ช่วยทำให้องค์กรสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจต่อเนื่องเร็วที่สุด โดยจะเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม และจะกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่สำหรับการทำงานในอนาคต
ห้า collapse of world economy – หลังวิกฤตครั้งนี้ สภาพเศรษฐกิจทั่วโลกจะเกิดการถดถอยอย่างรุนแรง และอาจนำไปสู่ความล่มสลายทางเศรษฐกิจของบางประเทศด้วย
หก industrial revolution 4.0 – เทคโนโลยีอย่างเช่น หุ่นยนต์ (robotics), ปัญญาประดิษฐ์, อินเทอร์เน็ตสำหรับทุกอย่าง (internet of things), เทคโนโลยีชีวภาพ (biotechnology) และข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) เป็นต้น จะถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิต และในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากขึ้น ถือเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมเพื่อไปสู่ดิจิทัลในยุค 4.0 อย่างแท้จริง
เจ็ด platform economy – ธุรกิจที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง หรือที่เรียกทับศัพท์ว่าแพลตฟอร์ม (platform) อย่างเช่น Facebook, WhatsApp, LinkedIn, Airbnb, Alibaba, Amazon, eBay เป็นต้น จะเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้อีกหลายเท่า
แปด nature and food as remedies – จากนี้ไปคนจะสนใจ และใส่ใจดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ (wellness) มากยิ่งขึ้น เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแทนการกินยา และหันไปใช้วิธีธรรมชาติบำบัดกันอย่างแพร่หลาย
เก้า retail in brick & mortar stores – การค้าขาย และให้บริการหน้าร้าน (offline) ยังคงมีอยู่ เพราะยังมีลูกค้าอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องการซื้อของ ณ สถานที่ขาย เนื่องจากอยากได้บรรยากาศ และประสบการณ์จากการจับจ่ายใช้สอย และการใช้บริการมากกว่าแค่อยากได้สินค้าหรือบริการนั้น ๆ นอกจากนั้น ช่องทางหน้าร้านยังทำหน้าที่เป็นเสมือนโชว์รูมแสดงสินค้าของการค้าออนไลน์อีกด้วย โดยเส้นแบ่งระหว่างธุรกิจออนไลน์ และออฟไลน์จะมีน้อยลงมาก เพราะแนวโน้มในอนาคตข้างหน้าจะเป็นแบบผสมผสานกันมากกว่า
สิบ geopolitical impacts – ภูมิศาสตร์การเมืองจะเปลี่ยนแปลงไป อิทธิพลของจีนมีมากขึ้น ในขณะที่สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปจะอ่อนแอลง โลกจะเกิดการรวมตัวแบบกลุ่มเล็ก ๆ หลาย ๆ กลุ่ม (blocs)ตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ และสภาพการเมืองมากกว่าจะแบ่งเป็นขั้วอำนาจแบบตะวันออกและตะวันตก เหมือนอย่างเดิม
“อภิวุฒิ” ยังกล่าวด้วยว่า นอกจาก top 10 trends ที่กล่าวไปแล้ว ยังมีเทรนด์อื่น ๆ ที่องค์กรไทยต้องให้ความสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์ใหม่ โดยเฉพาะแนวโน้มเกี่ยวกับเรื่องการบริหารคนที่กำลังจะเกิดขึ้น
งานใหญ่ ๆ จะถูกซอยออกเป็นงานย่อย ๆ และกระจายไปให้หลายคนทำ ซึ่งคนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นพนักงานประจำขององค์กร ส่งผลให้งานอิสระ และฟรีแลนซ์จะมีมากขึ้น ซึ่งจะเชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องการบริหารจัดการค่าตอบแทนแบบใหม่ขององค์กรด้วย
“นอกจากนั้น อาจเกิดปรากฏการณ์ alienated young men หรือการที่กลุ่มคนรุ่นใหม่มารวมตัวกันเรียกร้องต่อองค์กรมากขึ้น เพราะผิดหวังในระบบการบริหาร และไม่มีงานทำ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะสร้างครอบครัว ดังนั้น คุณสมบัติของผู้นำยุคหลังโควิดจึงเปลี่ยนไป ต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน, มีคุณธรรม และมีความไว้เนื้อเชื่อใจทีมงาน อันเป็น 3 คุณสมบัติสำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยง leadership crisis (วิกฤตความเป็นผู้นำ)”
ฉะนั้น เทรนด์เหล่านี้คือ new normal ของจริงที่ทุกองค์กรต้องเตรียมพร้อมในการรับมือ ทั้งนั้นเพื่อนำไปปรับกลยุทธ์ของบริษัทหลังจากวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ผ่านพ้นไป