ธุรกิจไทยรวมพลัง “วิถียั่งยืน” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

วิถีไทยสู่ความยั่งยืน

มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ในเครือบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ดำเนินการเปิดเวทีเสวนา “วิถียั่งยืน ชุบชีวิตธุรกิจ-สังคม (1)” เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ส่งต่อแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นที่นอกเหนือจากการสร้างรายได้และกำไรให้กับองค์กร เพราะในอนาคตหัวใจสำคัญในการตัดสินใจลงทุน จะถูกตัดเชือกเลือกจากนโยบายด้านความ “ยั่งยืน” ขององค์กรนั้น ๆ ว่ามีทิศทางที่ชัดเจนและจริงจังหรือไม่

สำหรับการสัมมนาในหัวข้อดังกล่าว นอกจากจะมี “กลินท์ สารสิน” ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ยังมี “สุพันธุ์ มงคลสุธี” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) “ผยง ศรีวณิช” ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย และ “รื่นวดี สุวรรณมงคล” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์

สร้างความร่วมมือธุรกิจ-ชุมชน

เบื้องต้น “กลินท์” ระบุว่า สภาหอการค้าฯมีนโยบายชัดเจนในเรื่องของ sustainability ในฐานะที่เป็นภาคธุรกิจมองเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน พร้อมกับรับผิดชอบสังคมตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางอย่างทั่วถึงในทุกระดับ หรืออาจจะเรียกว่าดูแลครบทั้ง value chain ว่ามีใครได้รับความเดือดร้อนจากการทำธุรกิจ รวมถึงต้องผลักดันให้ทุกส่วนของสังคมร่วมมือและอยู่รอดไปด้วยกัน

กลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
กลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

ความยั่งยืนที่ในมุมมองของ “กลินท์” คือ 1) ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และ 2) การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทั้ง 2 เรื่องนี้เดินหน้าไปได้ถือว่าเข้าใกล้ความยั่งยืนแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การกระจายรายได้ และความโปร่งใส ขณะนี้หอการค้ายังทำเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชั่นเพิ่มอีกเรื่อง รวมถึงเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม และด้านตลาดการผลิต เป็นอีก 2 เรื่องสำคัญที่จะต้องทำ ซึ่งตอนนี้มีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศแล้ว ในอนาคตจะขยายผลไปยังเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศกว่า 100,000 บริษัท เพื่อเดินหน้าในประเด็นความยั่งยืน

ขณะที่ในเรื่องของ “ขั้นตอน” ที่จะทำอย่างไรต่อนั้น “กลินท์” ระบุว่า สิ่งสำคัญคือ “การสื่อสาร” ต้องให้ชัดเจนว่ามีความเห็นอย่างไร และต้องทำให้ “เกิดขึ้นจริง” พร้อมกับยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น คือ “การเพิ่มมูลค่า” ให้กับสินค้า และการบริการของท้องถิ่นและชุมชนต่าง ๆ อาทิ ผลผลิตโกโก้ปกติธรรมดาถ้ามาจำหน่ายจะมีราคาอยู่ที่ 200,000 บาท/ไร่

ADVERTISMENT

แต่หากนำโกโก้มาตากแห้งและบดจะได้ราคาอยู่ที่ 500,000 บาท/ไร่ ทั้งยังสามารถนำโกโก้มาเพิ่มมูลค่าด้วยการทำเป็นน้ำมัน ผลิตเป็นเครื่องสำอางทาผิว ราคาอยู่ที่ 1 ล้านบาท/ไร่ และเศษโกโก้ที่เหลือยังนำมาผลิตเป็นช็อกโกแลตมีราคาอยู่ที่ 1.5 ล้านบาท/ไร่

“พูดง่าย ๆ คือ หลักการ 1 ไร่ 1 ล้าน ด้วยการให้ชาวบ้านมาช่วยทำโครงการในจังหวัดน่าน และนำมา apply ใช้ในหลายจังหวัดต่อมา เช่น นครศรีธรรมราช และชุมพร ตอนเริ่มต้นต้องถามก่อนว่าความต้องการโกโก้ในประเทศเป็นอย่างไร เบื้องต้นอยู่ที่ 50,000 ตัน/ปี แต่ผลิตเองได้ไม่เกิน 20,000 ตัน/ปี”

“อีกตัวอย่าง คือ การปลูกกาแฟที่จังหวัดน่าน เราเปลี่ยนภาพภูเขาหัวโล้นให้กลายเป็นไร่กาแฟแทนในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ถ้าเป็นกาแฟธรรมดารายได้อยู่ที่ 40,000 บาท/ไร่ แต่เมื่อนำมาผ่านกระบวนการคั่วกาแฟ 200,000 บาท/ไร่ และหากมาผลิตเป็นกาแฟจะมีรายได้อยู่ที่ 1 ล้านบาท/ไร่”

“เรายังสอนชุมชนในเรื่องการปรับปรุงแพ็กเกจจิ้ง การผลิตสินค้า และเรื่องราวที่มาที่ไปของสินค้า และเร็ว ๆ นี้จะมีความร่วมมือกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ JETRO ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยการนำโมเดลมาจากฮอกไกโดว่าจะพัฒนาสินค้าอย่างไร หลังจากนั้นจะไปขยายผลในพื้นที่จังหวัดเชียงรายอีก ซึ่งเป็นโครงการที่เน้นย้ำสร้าง value ให้กับท้องถิ่น”

หนุนผลิต Green Product

ขณะที่ “สุพันธุ์” ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมาโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี การเกิดโรคระบาด ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีปัญหาอย่างมาก ขณะนี้ ส.อ.ท.อยู่ระหว่างวางระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมมักตกเป็นจำเลยสังคมที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ส.อ.ท.จึงนำเรื่อง circular economy เข้ามาปรับใช้

สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

แต่การให้ความรู้อย่างเดียวคงไม่พอ จะต้องผลักดันให้สามารถดำเนินการได้จริง โดยเฉพาะในส่วนของสมาชิกของ ส.อ.ท.ใน 107 ประเภทอุตสาหกรรม เพื่อให้เป็น ecofactory กระทั่งต่อยอดไปสู่ green factory โดยมีความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ภายในปี 2570 ภาคอุตสาหกรรมต้องเป็น green factory 100% ให้ได้

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมหลายแห่งมีการดำเนินการอยู่แล้ว และขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการกระจายความร่วมมือไปสู่สภาอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ

“สุพันธุ์” ยังบอกอีกว่า ก่อนที่ไทยจะเจอปัญหาโควิด-19 กลุ่ม SMEs ต้องร่วมกัน ไม่อย่างนั้นจะมีการโจมตีภาคอุตสาหกรรมเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีการตั้งเป้าว่า SMEs จะต้องมีการดำเนินธุรกิจแบบรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน ประมาณ 50% ที่เป็นสมาชิกของ ส.อ.ท. แต่ต้องยอมรับว่าภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ระบาด ทำให้การดำเนินการ “หยุดชะงัก” ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องให้น้ำหนักกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาธุรกิจของตัวเองก่อน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ส.อ.ท.มีความร่วมมือในการรีไซเคิลพลาสติกกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี รวมถึงการรวบรวมองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ไปในทิศทางเดียวกันร่วมกัน เพื่อพัฒนาโมเดล green ของภาคอุตสาหกรรมให้ขยายตัวมากขึ้น

สิ่งเหล่านี้เราจะพยายามให้เกิดขึ้นกับภาคอุตสาหกรรมไทย โดย “สุพันธุ์” มองว่าโมเดลดังกล่าวจะช่วยสานต่อประเด็นความยั่งยืน และ ส.อ.ท.จะกระจายไปยังสภาอุตสาหกรรมจังหวัดและกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ในช่วงเริ่มต้นที่ 50% ของจำนวนสมาชิก ส.อ.ท.ทั้งหมด

นอกจากนี้ยังพยายามผลักดันให้สินค้าที่ผลิตออกมาได้บาร์โค้ดกรีนโปรดักต์ หรือ green card application จากสถาบัน GS1 เพื่อผู้บริโภคสามารถเช็กได้ว่าสินค้าดังกล่าวเป็นกรีน และสามารถรีไซเคิลได้ แนวทางลักษณะนี้จะทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่น และซื้อของมากขึ้น

ส่วนค่าธรรมเนียมการขอบาร์โค้ดกำหนดไว้หลายระดับ โดยเฉพาะ SMEs จะขึ้นทะเบียนราคาถูกมาก หรืออาจเจาะลึกไม่เก็บค่าธรรมเนียมให้บางส่วนด้วย เช่น สินค้าชุมชน ที่ขณะนี้พยายามให้สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเข้าไปช่วยดำเนินการ

สำหรับภาคเอกชนเองมีแนวทางการดำเนินธุรกิจสำคัญ คือ การมุ่งไปสู่ circular economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน เพราะคือหลักการหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน อันไปสอดรับกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งถ้ามีการดำเนินการที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากของเสียตามหลักการ circular economy จะเกิดผลดีกับโรงงานอุตสาหกรรม คือ ลดของเสีย ลดต้นทุนการผลิต สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างชุมชน

โดย ส.อ.ท.จะส่งเสริมการผลิตสินค้า และบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ecoproduct) ส่งเสริม Thai Eco Product ผ่านนโยบายจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวของหน่วยงานภาครัฐ

ธรรมาภิบาลตอบโจทย์ยั่งยืน

สำหรับ “ผยง” กล่าวว่า บทบาทของสถาบันการเงิน พื้นฐานคือรับฝากเงิน ปล่อยกู้เงิน โอนเงิน ชำระเงิน รวมถึงเป็นตัวกลางในการจัดสรรทรัพยากรเงินทุนให้ถูกทิศทาง และตอบโจทย์ในเรื่องความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งการเข้าถึงต้นทุนที่เหมาะสม เพื่อให้สังคม ชุมชน มีความยั่งยืน

ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย
ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย

ภายใต้กรอบของ ESG (Environmental, Social and Corporate Governance) ที่ต้องมีการเปิดเผยข้อมูล ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล รวมถึง SDGs (Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติ ซึ่งในบริบทของธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ในกรอบเรื่องของ sustainable banking และ responsible lending เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อด้วยความรับผิดชอบที่ต้องเดินคู่ขนานกับภาคประชาชน ภาคสังคม ภาคธุรกิจ และภาครัฐ

“ต้องยอมรับว่าระบบสถาบันการเงินเป็นอะไรที่ฝังลึก เกาะติดกับการเติบโตของสังคม และเศรษฐกิจประเทศ ฉะนั้น ในการจัดสรรทรัพยากร ทุนของเราจึงต้องเป็นไปตามบริบทปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้กำลังหาทางก้าวผ่านในช่วงวิกฤต เพื่อเตรียมพร้อมกับ future digital economy ไม่ว่าจะเป็นการก้าวจาก commerce เป็น social commerce และจะก้าวไปสู่ digital commerce โดยสถาบันการเงินจะต้องดูแลลูกค้า และคู่ค้า ให้มีความแข็งแรงภายในบริบทของการเปลี่ยนผ่านให้ได้”

“ที่สำคัญ ยังต้องดูการได้มาของข้อมูล ส่วนประกอบต่าง ๆ ของกิจการลูกค้า คู่ค้า รวมถึงการได้มาของลูกค้าในกิจการนั้น ๆ รวมถึงสิทธิต่าง ๆ จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและอยู่บนพื้นฐานความยั่งยืน โดยไม่มีสิทธิพิเศษนอกระบบ หรือการคำนึงถึงการใช้สิ่งแวดล้อมโดยไม่ได้บูรณาการ ซึ่งเป็นเรื่องที่สถาบันการเงินจะต้องดูความสมดุลดังกล่าว และต้องสื่อสารไปยังนักลงทุนด้วย”

อีกด้านหนึ่งที่ต้องดูคือเรื่องการจัดสรรทรัพยากร ต้องยอมรับว่าเรากำลังดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้บริบท digital disruption ที่สังคมโลกเป็นการยึดโยงในรูปแบบของ digital connectivity มากขึ้น แปลว่าถ้ายึดกรอบ SDGs ต้องไปคู่ขนานกับ sharing economy เพื่อเชื่อมโยงซัพพลายเชนตั้งแต่ระดับชุมชน

อย่างไรก็ดี วิถีความยั่งยืนไม่ใช่กระแสอีกต่อไป “ผยง” มองว่าการทำกิจกรรมทุกอย่างต้องมองระยะยาว หมายถึงความยั่งยืน เพื่อดูว่าธุรกิจมีกรอบกระบวนทัศน์ที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนได้หรือไม่ อันจะเป็นตัวพื้นฐานในการฟอร์มกลไก และโครงสร้าง
พื้นฐานต่าง ๆ รวมไปจนถึงการศึกษา เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ และนำมาใช้ยกตัวอย่างโครงการรัฐบาลล่าสุดที่กำลังนิยมอย่าง คนละครึ่ง และเที่ยวด้วยกัน เป็นโครงการที่เข้าไปกระตุ้นและประคองเศรษฐกิจ โดยระบบธนาคารพาณิชย์จะเข้าไปเชื่อมโยงเรื่องของการชำระเงิน แต่ทั้งหมดนี้อยู่บนกลไกที่ใช้ดิจิทัล เพื่อให้ไปถึงทุกภาคส่วน

ล่าสุดโครงการคนละครึ่งเข้าถึงพ่อค้า แม่ค้าแล้ว นั่นคือสิ่งที่ไม่ใช่แค่การประคอง หรือกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่มองไปจนถึงว่าเป็นส่วนหนึ่งในการปูพื้นฐานโครงสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และการสร้างกลไกการเข้าถึงโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็น
การซื้อขายออนไลน์ commerce และ social platform

ปั้น Platform เข้าถึงข้อมูล

ส่วนมุมมองของ “รื่นวดี” ระบุว่า ก.ล.ต.เป็นส่วนสนับสนุน สร้าง ecosystem ให้ผู้ประกอบการ สำคัญที่สุด คือ ความยั่งยืนเป็นเรื่องระยะยาว สร้างวิถี สร้างภูมิคุ้มกัน เราผลักดันแนวคิดเหล่านี้มาโดยตลอด อีกทั้งผู้ประกอบการต้องมองในเรื่อง “การบริหารความเสี่ยง” การคำนึงถึงเรื่อง ESG ที่จะเข้ามาช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในการประกอบธุรกิจ ช่วงเริ่มต้นของ ก.ล.ต.จึงทำเรื่องธรรมาภิบาล ความโปร่งใส

รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

หลังจากนั้นเกิดคำใหม่คือ ES โดย ก.ล.ต.มีหน้าที่ผลักดันเพื่อให้มีการเปิดเผยข้อมูล เพราะเรามีหน้าที่เป็น “คนกลาง” ที่จะต้องมองเรื่องการใส่ทรัพยากรอื่น ๆ ลงไปในการลงทุน และใส่เอกสารเพื่อช่วยการตัดสินใจเข้ามาลงทุน คำว่า ESG ถือเป็นกระจก 2 ด้าน แต่บริษัทจดทะเบียนอาจจะอยากเปิดเผยเพียง “ด้านดี” เท่านั้น

“1 ม.ค. 2565 เป็นต้นไป ท่านผู้ลงทุนจะได้เปิดอ่าน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ในการทำสิ่งดีให้กับสังคม และสิ่่งแวดล้อม ทั้งหมดจะปรากฏอยู่ในรายงานประจำปี ส่วนบริษัทที่มีความพร้อมส่วนหนึ่งก็ได้รายงานการดำเนินการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อมไปแล้วก่อนหน้านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้คือการสร้างให้เกิด ecosystem ไปพร้อม ๆ กับเรื่องความยั่งยืน และสร้าง platform ใหม่ขึ้นมา

สิ่งสำคัญคือทั้งบริษัทจดทะเบียนและผู้ลงทุน ต้องค้นหาบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังต้องการกำหนดกติการ่วมกัน และยังต้องสร้างเครื่องมือของการประเมินทั้งตามมาตรฐานไทยและสากลให้ได้”

“รื่นวดี” กล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีสัญญาณดีที่ผู้ออกตราสารหนี้เน้นไปที่การสร้างความยั่งยืน โดยออกตราสารหนี้สีเขียว (green bond), ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (sustainable bond) และตราสารหนี้เพื่อสังคม (social impact bond) ที่ผู้ออกตราสารหนี้จะนำเงินที่ระดมได้ไปใช้กับโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสิ่งแวดล้อม และสังคมเท่านั้น ซึ่ง ก.ล.ต.สนับสนุนเรื่องนี้ เพื่อสร้างแรงจูงใจจะไม่มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมกับตราสารหนี้ประเภทนี้

จนถึงขณะนี้มีบริษัท และรัฐวิสาหกิจของไทยที่ออกตราสารหนี้สีเขียวตอนนี้ 6-7 ราย มีโอกาสที่จะมีรายชื่อใน LGX ซึ่งจะทำให้ผู้ลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ในต่างประเทศเข้าถึงข้อมูล (bulletin board) เพื่อตัดสินใจในการลงทุน เป็นการแสดงพลังว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจสีเขียว (green economy) ไม่แพ้ประเทศอื่น

“เราอยากสร้างความเข้าใจในสังคมใหม่ว่า ตลาดทุนไม่ใช่ที่ของคนมีเงินเท่านั้น ก.ล.ต.จึงพยายามผลักดันเรื่องการเข้าถึงแหล่งทุนกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และสตาร์ตอัพ ให้สามารถออกหุ้นทุนได้”

“รวมถึงมีโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่องส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (social enterprise-SE) โดยวันนี้ ก.ล.ต.อนุญาตใครก็ตามที่เป็น SE ตามกฎหมายรัฐวิสาหกิจเพื่อสังคม สามารถระดมทุนได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ตอนนี้มีบางบริษัทระดมทุนได้กว่า 100 ล้านแล้ว เพื่อนำเงินทุนไปช่วยเหลือสังคมต่อไป”


  • หัวข้อข่าว:
  • ESG