
ภายในงานสัมมนา “Thailand Quality Award 2020 Winner Conference” ที่มีสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้จัดงาน
มีหลายองค์กรที่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award-TQA), รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม (Thailand Quality Class Plus : Innovation), รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านการปฏิบัติการ (Thailand Quality Class Plus : Operation)
และรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class-TQC) ที่ไม่เพียงจะมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ และถอดบทเรียนความสำเร็ จจากองค์กรต่าง ๆ หากความสำเร็จดังกล่าวยังส่งผลต่อผู้เข้าร่วมรับฟังสัมมนาออนไลน์วันนั้นด้วย
โดยในส่วนของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านการปฏิบัติการ (Thailand Quality Class Plus : Operation) เมื่อปี 2020 มาร่วมแลกเปลี่ยนพูดคุยในหัวข้อ “การขับเคลื่อนองค์กรอย่างมีวิสัยทัศน์สู่ความเป็นผู้นำ และองค์กรสมรรถนะสูง”
ซึ่งมี “ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา” คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้บรรยาย
เบื้องต้น “ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์” กล่าวถึงวิสัยทัศน์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลที่ต้องการเป็นสถาบันทางการแพทย์ของแผ่นดิน เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศในระดับสากล
โดยตั้งเป้าหมายในปี 2567 จะต้องเป็นองค์กรสู่ความเป็นเลิศ เพื่อมุ่งสู่อนาคตด้วยผลงานที่เป็นเลิศ ขณะเดียวกันก็ตั้งเป้าหมายในปี 2572 ที่จะต้องเป็นผู้นำ และผู้ชี้นำเพื่อสร้างสรรค์สุขภาวะแก่มวลมนุษยชาติ
ซึ่งอยู่บนพันธกิจ 3 ด้าน คือ
หนึ่ง จัดการการศึกษาเพื่อผลิตบัณฑิต บุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
สอง ทำการวิจัย และให้บริการวิชาการ
สาม ให้บริการทางการแพทย์
โดยมีการวางยุทธศาสตร์ทั้งหมด 5 ด้านประกอบกัน ได้แก่ 1.ปฏิรูปเพื่ออนาคต 2.บูรณาการ 3.ร่วมมือกับพันธมิตร 4.พัฒนาความเป็นมืออาชีพ และ 5.เสริมฐานความยั่งยืน
“ฉะนั้น ภาพอนาคตของคณะแพทยศาสตร์ฯนับตั้งแต่ปี 2563-2572 จึงต้องวางระบบงานด้านการศึกษา, การวิจัย, การบริการทางการแพทย์ และการบริหารจัดการด้วยความเข้มแข็งเพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ และพันธกิจที่จะต้องนำองค์ประกอบในเรื่องของการชี้นำ และการตั้งเป้าหมายที่ท้าท้าย”
“นอกจากนั้นยังจะต้องสื่อสารเพื่อถ่ายทอดสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องกำกับ ติดตาม และบริหารจัดการให้เกิดผลลัพธ์ดีที่สุด เพื่อสร้างแรงจูงใจและความผูกพันกับบุคลากรทุกภาคส่วน และหากมีส่วนไหนผิดพลาดจะต้องปรับปรุง รีบแก้ไขเพื่อความยั่งยืนในอนาคต”
ผลตรงนี้ เมื่อดูรายละเอียดในการสร้างเครือข่ายระดับนานาชาติจะพบว่า คณะแพทยศาสตร์ฯไม่เพียงถูกคัดเลือกให้เป็นสำนักงานเลขาธิการฝั่งอาเซียน (Permanent Secretary General) หาก “ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์” ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานฝ่ายอาเซียนอีกด้วย
ขณะเดียวกัน การจัดการทางด้านการศึกษา โดยเฉพาะหลักสูตรใหม่ต่อจากนี้ไปการเรียนการสอนจะเป็นลักษณะของ “Hybrid Program 6” คือ เรียนแพทย์ 6 ปี แต่ถ้านักศึกษาคนไหนสนใจ หรือมีศักยภาพสูง สามารถเลือกเรียนสาขาอื่นในระดับปริญญาโทควบคู่ไปพร้อมกันระหว่างการเรียนแพทย์อีก 1 สาขา
ซึ่งนักศึกษาจะได้ 2 ปริญญา แต่ใช้เวลาเท่าเดิม ทั้งนั้นเพื่อเพิ่มศักยภาพบัณฑิต และมหาบัณฑิต ให้มีความสามารถที่หลากหลายมากขึ้น
นอกจากนั้น “ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์” ยังกล่าวถึงการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะ application SIRIRAJ ALUMNI ที่ตอนนี้มีการพัฒนาเชื่อมต่อกับระบบ SICMS และเว็บไซต์ของศิษย์เก่า
“เราต้องการปรับรูปแบบการแสดงข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ ปฏิทินกิจกรรม ทะเบียนศิษย์เก่า การแก้ไขข้อมูลส่วนตัวผ่านแอปพลิเคชั่น เพื่อเพิ่มระบบการจัดเก็บข้อมูล การเข้าร่วมกิจกรรม การบริจาค หรือการเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างศิษย์เก่ากับศิษย์เก่า หรือศิษย์เก่ากับคณะในระบบส่งข้อความ”
ยิ่งเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของมหันตภัยไวรัสร้ายอย่างนี้ด้วย
“ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์” บอกว่า นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน มีการวางยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน 2 เรื่องด้วยกัน คือ
หนึ่ง ยุทธศาสตร์ต้นน้ำ ด้วยการลดจำนวนผู้ป่วยใหม่
สอง ยุทธศาสตร์ปลายน้ำ ด้วยการลดอัตราการเสียชีวิต และเพิ่มอัตราการกลับบ้าน, อัตราการหายให้มากขึ้น
ที่สำคัญ ยังมีการวางแผนการบริหารความต่อเนื่องอีก 3 ด้านประกอบกัน คือ
หนึ่ง Preparing phase ที่ไม่เพียงต้องติดตามข่าวสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในต่างประเทศ และภายในประเทศ หากยังต้องประเมินผลกระทบต่อการให้บริการของโรงพยาบาล หากต้องรับผู้ป่วยโควิด-19
นอกจากนั้น ยังต้องประเมินความพร้อมของทรัพยากรที่จำเป็น และศักยภาพของหน่วยงาน ทั้งยังต้องกำหนดจุดคัดกรอง OPD ด้วยการรับผู้ป่วยที่ห้อง 127 IPD เพื่อแยกผู้ป่วยติดเชื้อ
สอง Disaster phase ด้วยการประชุมวอร์รูมคอมมิตตี เพื่อติดตามสถานการณ์ กำหนดนโยบาย การบริหารจัดการ แนวทางการรักษาผู้ป่วย
นอกจากนั้น ยังมีประชุม BCM Hospital Committee เพื่อมอบหมายนโยบาย และสื่อสารวิธีปฏิบัติงาน เพื่อหาทางดูแลผู้ป่วยเฉพาะกลุ่ม ที่สำคัญ ยังเข้าร่วมประชุมกับหน่วยงานภายนอก ได้แก่ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อทราบนโยบายประเทศ และเสนอข้อคิดเห็นในการวางแผนเชิงนโยบาย
สาม Recovery phase ประกาศใช้แผนกอบกู้ธุรกิจ, การเจาะเลือดแบบไดรฟ์ทรู, การรับยาทางไปรษณีย์, ทบทวนแผน BCM โรคติดเชื้อ, การถอดบทเรียนโควิด-19 และการดำเนินงานตามวิถีใหม่
ทั้งหมดนี้ “ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์” บอกว่า เราจะมีการกำหนดหัวข้อหลัก ๆ เพื่อสำหรับวางแผน พร้อม ๆ กับดำเนินการติดตามการทำงานแบบวันต่อวัน เพื่อให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด
ผลเช่นนี้ จึงทำให้คณะแพทยศาสตร์ฯจึงจำเป็นต้องมุ่งการบริหารทรัพยากรบุคคล โดยแบ่งออกเป็น 3 มิติด้วยกัน คือ
หนึ่ง มิติคนพอ
สอง มิติคนสามารถ
สาม มิติคนผูกพัน
“สำหรับมิติคนพอ เราทำการสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ และทักษะที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน ขณะเดียวกัน เราก็มีการประเมินขีดความสามารถของบุคลากร และกำหนดอัตรากำลังให้สอดคล้องกับพันธกิจ”
“ส่วนมิติคนสามารถ เราให้ความสนใจกับบุคลากรที่มีความรู้ และทักษะที่จำเป็นในการปฏิบัติภารกิจ โดยมีการฝึกอบรม, ประเมินผลความรู้ และเพิ่มทักษะของบุคลากรเข้าไป โดยเฉพาะการประเมินผลการปฏิบัติงานที่เป็นธรรม ตรวจสอบได้แต่จะต้องสอดคล้องตามผลลัพธ์ของการดำเนินงานขององค์กร”
“สำหรับมิติคนผูกพัน เราจะมุ่งเน้นรักษาบุคลากร พร้อม ๆ กับสร้างความผูกพันของบุคลากร ด้วยการสร้างสภาวะแวดล้อมในการทำงานที่เอื้อต่อการปฏิบัติงาน และธำรงไว้ซึ่งสุขภาพ และสวัสดิภาพของบุคลากร ขณะเดียวกันก็ต้องสนับสนุน และเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรแก่บุคลากรด้วย”
นอกจากนั้น “ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์” ยังกล่าวถึง “Siriraj Logic Model” เพื่อยกระดับการทำงานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันที่จะต้องมีอย่างน้อย 2 เรื่องด้วยกัน คือ
หนึ่ง วิเคราะห์กระบวนการทำงานหลักให้สอดคล้องวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของคณะ ทั้งยังต้องกำหนดตัวชี้วัดผลลัพธ์ (KPI) และตัววัดกระบวนการ (PI) เพื่อใช้ติดตามประเมินผลร่วมกัน
สอง ถ่ายทอด KPI, PI สู่ระดับต่าง ๆ จนถึงรายบุคคล เพื่อนำไปออกแบบ และพัฒนางาน พัฒนาคนให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนด เพื่อสร้างคุณค่าการทำงานเป็นทีม
“ฉะนั้น Siriraj Logic Model จึงต้องเริ่มจากฝ่ายบริหาร (รองคณบดี) เพื่อถ่ายทอดกระบวนการหลักทั้ง 2 ส่วน (KPI, PI) ไปยังคณะ, หัวหน้าฝ่าย, งาน, หน่วย, ทีม และบุคลากรทุกคน ด้วยการมอบหมายกำกับดูแล ที่ปรึกษา เพื่อพัฒนาสมรรถนะ, งาน พร้อมกับประเมินความก้าวหน้าโดยไม่ใช้ผลลัพธ์มาเป็นตัววัด และตัดสิน”
จึงจะทำให้ความสำเร็จเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน