เอสเอพีพลิกโฉมออฟฟิศ นำโมเดลการทำงานแบบไฮบริด พนักงานกว่า 120 คน สามารถเลือกสถานที่ทำงานได้เองได้ โดยโฟกัสกับความต้องการของพนักงานเป็นหลัก
วันที่ 21 มีนาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอสเอพี ประเทศไทย (SAP Thailand) ประกาศพลิกโฉมออฟฟิศในประเทศไทยครั้งสำคัญ ตามหลังการเปิดตัวออฟฟิศรูปแบบไฮบริดแห่งแรกของบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของพนักงานในไทย นอกจากนั้น ยังได้รับรางวัลองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานด้วยมากที่สุด (Best Companies to Work for in Asia) จาก HR Asia ซึ่งเป็นการครองตำแหน่งนี้ 2 ปีซ้อน รวมถึงการนำโมเดลการทำงานแบบไฮบริด Pledge to Flex มาใช้ เพื่อตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมการบริหารทรัพยากรขององค์กรด้วยเทคโนโลยี
โดยออฟฟิศแห่งใหม่ของเอสเอพี ประเทศไทย ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ณ อาคาร เดอะปาร์ค (THE PARQ) ถูกออกแบบเพื่อรองรับโมเดลการทำงานที่ส่งเสริมความคล่องตัว พนักงานกว่า 120 คน สามารถเลือกสถานที่ทำงานได้เอง โดยการพลิกโฉมครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์พัฒนาการเติบโตของบุคลากร มุ่งเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน ให้พนักงานทำงานอย่างเต็มศักยภาพด้วยเทคโนโลยี
“อุษา คงถาวรวงศ์” HR Business Partner เอสเอพี อินโดไชน่า กล่าวว่า ขณะนี้หลาย ๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย กำลังเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เอสเอพีจึงได้ใช้แนวทางใหม่ในการเฟ้นหาและส่งเสริมพนักงานที่มีความสามารถ โดยเน้นพัฒนากลยุทธ์ด้านทรัพยากรบุคคล (human resource: HR) ของบริษัทจากการใช้ข้อมูลภายในองค์กรเป็นตัวขับเคลื่อน (data-driven)
“เราได้ทำแบบสำรวจความคิดเห็นกับพนักงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่า หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พนักงานมากกว่า 40% ของเอสเอพี ประเทศไทย ต้องการทำงานจากที่บ้าน 2-3 วันต่อสัปดาห์ ด้วยแนวคิดการมองพนักงานเป็นศูนย์กลาง และโฟกัสกับความต้องการของพนักงานเป็นหลัก ดังนั้น เอสเอพีจึงนำเสนอโมเดลการทำงานแบบไฮบริด Pledge to Flex ที่นอกจากจะมีความทันสมัยแล้ว ยังตอบโจทย์ความท้ายของธุรกิจ โดยตั้งเป้าเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการทำงานให้กับพนักงาน 100% และสร้างบรรทัดฐานใหม่ด้วยตารางการทำงานที่ยืดหยุ่น รวมถึงให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและความยั่งยืน”
ล่าสุด เอสเอพี ประเทศไทย ได้รับรางวัลองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานด้วยมากที่สุด หรือ “Best Companies to Work for in Asia” จาก HR Asia ซึ่งการที่เอสเอพีได้ครองตำแหน่งนี้เป็นเวลาสองปีซ้อน รวมถึงการนำโมเดลการทำงานแบบไฮบริด “Pledge to Flex” มาใช้ ได้ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของเอสเอพีในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมนี้
เอสเอพีมั่นใจว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดด้านการให้บริการโซลูชั่นและบริการบนระบบคลาวด์ เดินหน้าสานต่อพันธกิจหลักขององค์กรในการช่วยพัฒนาระบบบริหารจัดการขององค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“อุษา” กล่าวด้วยว่า เอสเอพี ประเทศไทย มุ่งมั่นในการทำให้องค์กรเป็นสถานที่ทำงานที่พนักงานรู้สึกไว้วางใจโดยได้สร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้พนักงานทำงานได้อย่างยืดหยุ่น และมีส่วนร่วมในการทำงานในทุกแง่มุม ที่สำคัญระบบ HR ยังมีส่วนสำคัญเช่นกัน โดยเอสเอพีมีระบบ digital HR ที่ใช้ซอฟต์แวร์อย่าง Qualtrics ในการทำความเข้าใจกับความเห็นของพนักงาน และ SAP SuccessFactors ในการสร้างประสบการณ์ในการทำงานที่ดียิ่งขึ้นให้กับพนักงาน เพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินงาน บริหารจัดการต้นทุน และให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เรามองว่าการรับฟังความคิดเห็นของพนักงานและการให้ความสำคัญกับการสร้างความไว้วางใจ การเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน และการให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กรมากขึ้น คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยปรับให้กลยุทธ์ด้าน HR ขององค์กรมีความแข็งแกร่งมากพอต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต”
“เอทูล ทูลิ” กรรมการผู้จัดการ เอสเอพี อินโดไชน่า กล่าวว่า การที่เอสเอพีนำสามปัจจัย ได้แก่ เทคโนโลยีอัจฉริยะที่มีความชาญฉลาด สภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่น และนโยบาย มาเป็นตัวขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้าน HR ขององค์กร เพราะต้องการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ในองค์กร และเฟ้นหาวิธีที่พนักงานจะสามารถทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ยังยอมรับความแตกต่างของกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้น ต้องการสร้างวัฒนธรรมชุมชนองค์กรที่เข้มแข็งและพัฒนาทีมเวิร์กในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นด้วย
“การรวมเทคโนโลยีคลาวด์เข้ากับโมเดลการทำงานใหม่ที่เรียกว่า Pledge to Flex จะช่วยสร้างนิยามและคอนเซ็ปต์ใหม่ให้กับสถานที่ทำงาน ซึ่งควรมีความยืดหยุ่น ครอบคลุม และตอบสนองต่อความต้องการของพนักงานได้อย่างแท้จริง การลงทุนในโซลูชั่นดิจิทัลเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมการทำงานทั่วทั้งบริษัทที่ทำให้พนักงานสามารถเติบโตได้ จะทำให้บริษัทของเราเติบโตได้อย่างยั่งยืน”
แนวคิดหลักของเอสเอพี ที่เน้นพนักงานเป็นศูนย์กลาง เป็นหนึ่งในตัวอย่างล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่า เอสเอพียังคงมุ่งมั่นในการสานต่อพันธกิจในการช่วยให้โลกดำเนินต่อไปได้ดียิ่งขึ้นพร้อมพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน ซึ่งส่วนหนึ่งต้องเริ่มจากการสร้างสถานที่ทำงานที่พร้อมรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนและมีความยั่งยืน