
คอลัมน์: CSR Talk ผู้เขียน: พิพัฒน์ ยอดพฤติการ
ความพยายามของสังคมโลกในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหา อันเป็นผลพวงจากการพัฒนาที่ไม่สมดุลมีมาอยู่อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972 ที่ประชาคมโลกตระหนักถึงวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาแบบมุ่งเน้นด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว และได้ริเริ่มกระบวนการเตรียมตัวด้านสภาวะแวดล้อม
โดยข้อมติของสมัชชาสหประชาชาติที่สืบเนื่องจากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ (UNCHE) จนนำมาสู่การเสนอแนะการพัฒนารูปแบบใหม่ที่มุ่งลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้ในเอกสารรายงานชื่อว่า “อนาคตของเรา” ซึ่งเสนอต่อสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1987 อันเป็นที่มาของแนวคิด “การพัฒนาที่ยั่งยืน”
การพัฒนาทางเศรษฐกิจจากการปรับให้เป็นอุตสาหกรรมของนานาประเทศ เพื่อหวังจะให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สะดวกสบายขึ้น กลับก่อให้เกิดการปล่อยมลพิษอย่างขนานใหญ่ ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศ สะสมต่อเนื่องจนเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ย้อนกลับมาเป็นภัยต่อมนุษย์เอง
ในปี ค.ศ. 1997 พิธีสารเกียวโตได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้รับความเห็นชอบจากกว่า 170 ประเทศในขณะนั้น ซึ่งหนึ่งในกลไกที่เกิดขึ้นจากพิธีสารเกียวโต คือ กลไกการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการคิด “คาร์บอนเครดิต” ให้ผู้ดำเนินการเป็นหน่วยปริมาณก๊าซที่ลดได้ (ERU)
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกได้ใช้กลไกคาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือหนึ่งในการจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายในประเทศของตน โดยมีการตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality)และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero emissions) ตามความตกลงปารีส เพื่อรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส
ในภาคเอกชนการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนขององค์กรธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียน ดำเนินภายใต้บริบทของการประกอบธุรกิจที่คำนึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยมีคำว่า ESG (environmental, social and governance) เป็นภาษาหลักในการสื่อสารกับผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของกิจการ
นั่นหมายความว่า การสื่อสารเรื่องปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ในรูปคาร์บอนเครดิต สามารถแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าของการดำเนินงานเรื่องความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมได้ ขณะเดียวกัน ธุรกิจยังต้องมีเครื่องมือสื่อสารถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านสังคมและด้านธรรมาภิบาลเพิ่มเติม
ผมได้รับข้อคำถามจากองค์กรธุรกิจที่รู้จักหลายแห่งว่า จะมีเครื่องมือที่คล้ายคลึงกับคาร์บอนเครดิตที่สามารถสื่อสารถึงความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนในด้านสังคมและด้านธรรมาภิบาลด้วยหรือไม่ ด้วยคำถามนี้เองจึงนำมาสู่การแสวงหาคำตอบ
โดยการขยายกรอบแนวคิดเรื่องคาร์บอนเครดิตที่เจาะจงในเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมไปถึงเรื่องสังคมและธรรมาภิบาล โดยเปิดโอกาสให้องค์กรซึ่งคำนึงถึงเรื่อง ESG อยู่แล้วสามารถได้รับ “ESG เครดิต” จากการดำเนินงานในด้านสังคมและธรรมาภิบาล นอกเหนือจากด้านสิ่งแวดล้อมได้ด้วย
สถาบันไทยพัฒน์ในฐานะสมาชิกภาคองค์กรประเภทที่ปรึกษาของ IEMA (Institute of Environmental Management and Assessment) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นนักวิชาชีพด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมจากทั่วโลกจำนวนกว่า 18,000 คน ใน 113 ประเทศ
โดยมีบทบาทหลักในการสนับสนุนการกำหนด การรับรอง และการนำมาตรฐานและข้อปฏิบัติไปใช้เพื่อการแปรเปลี่ยนโลกสู่ความยั่งยืน ได้จัดทำแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจนำโครงการที่เข้าเกณฑ์ได้รับ ESG เครดิตมาขึ้นทะเบียนเพื่อรับการประเมินและใช้ประโยชน์จาก ESG เครดิตในการสื่อสารถึงความก้าวหน้าของการดำเนินงานเรื่องความยั่งยืนของกิจการที่ครอบคลุมทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
โดยที่กิจการสามารถสะสมเครดิตได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการและกิจกรรมทางธุรกิจที่ได้รับการประเมิน ที่สำคัญแพลตฟอร์มที่จัดทำขึ้นจะไม่จำกัดอยู่เพียงบริษัทในประเทศไทยที่ได้รับประโยชน์ แต่จะเป็นแพลตฟอร์มสากลที่บริษัทในประเทศอื่น ๆ สามารถเข้าร่วมผ่านทางนายทะเบียนในประเทศนั้น ๆ ภายใต้เครือข่ายภาคีที่ร่วมดำเนินงานกันในระดับภูมิภาค
จากการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของกิจการ (disclosure) ที่บริษัทใช้สานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผ่านมาสู่เวทีรางวัลด้านความยั่งยืน (award) ที่บริษัทใช้เพิ่มสถานะความน่าเชื่อถือด้วยการรับรองโดยหน่วยงานภายนอก
วันนี้เรากำลังจะมีแพลตฟอร์มที่บริษัทสามารถใช้สร้างการยอมรับจากสาธารณะต่อพัฒนาการด้าน ESG ของกิจการที่ชี้ให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องผ่านทาง ESG เครดิต ในรูปของการสะสมคุณค่าเชิงผลลัพธ์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะกลายเป็นหมุดหมายใหม่แห่งความยั่งยืนของกิจการ
จากการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของกิจการ (disclosure) ที่บริษัทใช้สานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผ่านมาสู่เวทีรางวัลด้านความยั่งยืน (award) ที่บริษัทใช้เพิ่มสถานะความน่าเชื่อถือด้วยการรับรองโดยหน่วยงานภายนอก
วันนี้เรากำลังจะมีแพลตฟอร์มที่บริษัทสามารถใช้สร้างการยอมรับจากสาธารณะต่อพัฒนาการด้าน ESG ของกิจการที่ชี้ให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องผ่านทาง ESG เครดิต ในรูปของการสะสมคุณค่าเชิงผลลัพธ์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะกลายเป็นหมุดหมายใหม่แห่งความยั่งยืนของกิจการ