“สุวิทย์ คุณกิตติ” เล่านิทานก้อม โยงเลือกตั้ง ชาวบ้านบอก “เงินเอา เหล้ากิน แต่จะทิ้งบัตรให้ใครอยู่ในใจเขาแล้ว”

นายสุวิทย์ คุณกิตติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายสมัย โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก Suwit Khunkitti เล่านิทานก้อม มีรายละเอียดน่าสนใจดังนี้ (นิทานก้อม คือนิทานที่มีเนื้อเรื่องสั้นๆ อาจจะเป็นในรูปนิทานที่มีคติสอนใจ สอดแทรกคำสอนหรือสะท้อนวิถีชีวิต)

ผมมีนิทานก้อม จะเล่าให้ฟัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผมต้องเลือกตั้งแข่งกับผู้มีบารมีและอำนาจในประเทศแบบครอบครัว Kennedy ของสหรัฐอเมริกา มีน้องชายเป็นถึงอธิบดีกรมตำรวจ ในการเลือกตั้งครั้งนั้น มีการใช้ว่าที่อธิบดีกรมตำรวจซึ่งเคยเป็นตำรวจใหญ่ในพื้นที่ตั้งแต่สารวัตรใหญ่ จนเป็นผู้บัญชาการ รู้จักมักคุ้นกับพ่อผมดีได้รับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการการหาเสียงเลือกตั้ง ให้กับผู้มีบารมีท่านนั้น มีการเรียกตำรวจที่เคยอยู่ในพื้นที่และคุ้นเคยเป็นอย่างดีเข้ามาจัดกำลังตำรวจไปประกบคณะทำงานและทีมงานรณรงค์หาเสียงรวมทั้งพ่อผมด้วย โดยให้เหตุผลว่ามาดูแลรักษาความปลอดภัยและยังมีปลัดกระทรวงในสมัยนั้นให้การสนับสนุนด้วย

เวลาผมไปหาเสียงที่ไหนก็จะได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เอาเทปมาบันทึกเสียงการปราศรัย จนก่อนจะเริ่มปราศรัยผมจะบอกชาวบ้านว่าเดี๋ยวค่อยดูนะจะมีตำรวจเอาเทปมาบันทึกเสียงการปราศรัยของผม ดังนั้นเวลาผมถามอะไรให้ตอบดังดังคนที่สั่งมาจะได้ยินเสียงพวกเราด้วย สักครู่ก็มีตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์มาพร้อมกับเทปบันทึกเสียง ผมก็จะประกาศให้ชาวบ้านได้ยินแล้วก็ชี้ให้ชาวบ้านดู ชาวบ้านก็จะเฮเสียงดัง ที่จริงแล้วเป็นการโห่ไล่เสียมากกว่า ยิ่งเป็นเวลาโพล้เพล้หรือตอนค่ำก็จะมีรถตำรวจพร้อมอาวุธครบมือนั่งอยู่บนกระบะวิ่งผ่ากลางวงปราศรัยหาเสียงเสียอย่างนั้น

นอกจากนั้นยังไปตั้งด่านตรวจบัตรประชาชนชาวบ้านที่ทางพาดเขาสวนกวางที่แยกจากถนนมิตรภาพเพื่อกดดันไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาเยี่ยมผมที่บ้าน ที่ด่านตรวจจะถามว่ามาทำอะไรจะไปที่ไหนชาวบ้านก็จะบอกว่ามาตลาดบ้างมาวัดบ้างแต่ความจริงก็มาหาผมมาเล่าให้ผมฟังว่ามีตำรวจไปสืบข่าวไปทำอะไรบ้างที่ไหนอย่างไรและก็ยังเข้ามาถามพ่อผมว่าได้ตำรวจที่มาควบคุมอยู่ ตำรวจคนนั้นตกใจก็เลยหลบหนีออกไปจากบ้านไม่โผล่หน้าเข้ามาให้เห็นอีกเลย

ทุกเช้าผมจะมีชาวบ้านเข้ามาหาผมครั้งละสองสามคันรถ ผมถามว่ามาทำไมเขาบอกว่า เป็นห่วงเลยอยากมาคุ้มกันไปไหนไปด้วยกันไม่ต้องไปกลัวใครทั้งสิ้น เราออกจากบ้านกันแต่เช้าว่าจะกลับเข้าบ้านก็ดึกดื่นแต่พวกชาวบ้านเหล่านี้ไม่เคยเน็ตเหนื่อยมาตามจนวันสุดท้าย ผมไม่เคยลืมพระคุณของเขาเหล่านั้นเลย

ผมไม่รู้ว่าถูกดักฟังโทรศัพท์หรือเปล่าเพราะเวลาผมไปปราศรัยตามหมู่บ้าน ก็ไม่เคยมีกำหนดการ จนกระทั่งวันหนึ่งผมโทรศัพท์ไปแจ้งกับผู้ประสานงานว่าจะเข้าไปปราศรัยในหมู่บ้านนี้ปรากฏว่ามีรถฉายหนังกลางแปลง ของบริษัทที่ท่านเคยเป็นผู้บริหารเข้าไปฉายหนังรอ เมื่อผมไปถึงชาวบ้านขอให้หยุดการฉายหนังชั่วคราวขอฟังการปราศรัยของผมก่อน แต่พนักงานที่มากับรถไม่ยอมหยุดบอกว่าเจ้านายสั่งมาว่าไม่หยุด จนเด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านขู่จะเอาน้ำตาลกรอกถังน้ำมัน ผมจึงบอกชาวบ้านว่าใครอยากฟังการปราศรัยให้ตามมาที่กลางบ้านปรากฏว่าชาวบ้านมากันหมดไม่มีใครอยู่ดูหนังเลยซักคนเดียว ทำให้ผมสงสัยจะได้ทดลองดูหลายครั้งถ้าผมใช้โทรศัพท์ก็จะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นตลอด

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมอยากจะทดลองดูว่ามีการดักฟังโทรศัพท์จริงหรือไม่ผมจึงแกล้งโทรไปหาเพื่อนแล้วบอกว่าเอกสารที่เตรียมไว้เรียบร้อยไหมถ้าเรียบร้อยให้เอาไปส่งที่อำเภอนี้ ปรากฏว่าวันนั้นเส้นทางที่ไปอำเภอดังกล่าวมีด่านอยู่เต็มไปหมดและตรวจรถของผมทุกคัน เป็นเช่นนี้หลายครั้งก็ลองคิดดูแล้วกันว่ามีการดักฟังโทรศัพท์หรือไม่

ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือมีผู้จัดการธนาคารคนหนึ่งมาเตือนผมว่าสำนักงานใหญ่ให้ตรวจสอบดูแลการเคลื่อนไหวของเงินในบัญชีผม ซึ่งผมไม่แปลกใจเลยครับเพราะว่าน้องชายของท่านผู้นั้นเป็นประธานบอร์ดของธนาคารใหญ่ที่ผมใช้บริการอยู่ด้วย

ยิ่งตอนที่จะใกล้เลือกตั้งยิ่งเข้มข้นขึ้นมีการไปกดดันขอคะแนนจากผู้นำท้องถิ่นและชาวบ้านให้กับผู้ใหญ่ท่านนั้นและการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาประกบติดตามคนของผม การติดตามกดดันและบันทึกเสียงการปราศรัยของผม รวมทั้งการขับรถผ่ากลางวงปราศรัยเป็นที่รู้กันของชาวบ้านทั่วไป

ยิ่งทำให้ชาวบ้านเกิดความสงสารและเห็นใจในขณะเดียวกันก็เกิดความกลัวว่าทั้งผมและชาวบ้านจะเดือดร้อน

เวลามีการมาทำโพลสอบถาม ชาวบ้านก็จะบอกว่าไม่เลือกผมจะเลือกท่านผู้ใหญ่จนผมเองก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงออกไปค้นหาความจริงและถามชาวบ้านว่าทำไมถึงจะไม่เลือกผมชาวบ้านไล่ผมกลับบ้านบอกผมว่าไม่ต้องเป็นห่วง ยังไงก็เลือกอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของผมและขอให้ผมอยู่บ้านไม่ต้องออกมาหาเสียง ที่บอกว่าไม่เลือกเพราะไม่รู้ใครฝ่ายไหนมาถามกลัวจะเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับผม ถ้าบอกว่าเลือกผมเดี๋ยวจะไม่ได้เงินใช้

นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนที่มาเป็นบัญชาการการหาเสียงเลือกตั้งเก่งมากไม่รู้ไปสืบอย่างไรว่าคะแนนเจ้านายตัวเองอยู่เกือบที่โหล่ ยังกล้าเข้ามาหาพ่อผมบอกว่าขอแบ่งคะแนนให้เจ้านายหน่อย

ในสมัยก่อนการแพ้ชนะบางครั้งก็เกิดจากไฟดับในหน่วยเลือกตั้งหรือที่รวมคะแนนในที่ว่าการอำเภอ ผมก็ได้หามาตรการในการป้องกันไว้ทุกอำเภอยกเว้นอำเภอเล็กที่ปรากฏในภายหลังว่ามีไฟฟ้าดับจนได้ แม้แต่ที่อำเภอใหญ่ก็ยังมีปัญหาเพราะว่าตัวแทนของผมแจ้งมาที่ผมว่านายอำเภอเอาแผ่นรวมคะแนนเข้าไปในห้องคนเดียว ไม่รู้ว่าเอาเข้าไปทำอะไร ทำให้ผมต้องวิ่งเข้าไปที่อำเภอนั้นโดยด่วนแล้วบุกเข้าไปที่ห้องนายอำเภอปรากฏว่าล๊อกประตูไว้ ผมเรียกก็ไม่เปิดจึงถีบประตูเข้าไปพบว่ากำลังดูแผ่นรวมคะแนนพร้อมดินสอยางลบอยู่ในมือไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ จึงบอกว่าอย่าทำอะไรที่มันผิดๆ สุดท้ายถึงต้องยอมเอาแผ่นลงคะแนนนั้นมามอบให้กับคณะกรรมการได้ร่วมกันลงชื่อแล้วผมจดคะแนนไว้ทั้งหมดพร้อมทั้งให้พยานได้เซ็นไว้เป็นหลักฐานด้วย

สุดท้ายผลการเลือกตั้งออกมาสวนทางกับโพลที่ลูกน้องทำเอาใจนาย ผมชนะแบบขาดลอยแพ้เพียงอำเภอเล็กที่ผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร มีเสียงเล่าลือกันว่ามีการเปลี่ยนคะแนนของลูกทีมซึ่งมาเป็นอันดับรองจากผม แต่ข้อเท็จจริงประเด็นนี้เป็นประการใดไม่ทราบได้ ถึงวันนี้คงหมดอายุความไปแล้ว

แต่นายตำรวจท่านนั้นเก่งมากครับเพราะว่าวันลงคะแนนยังนับคะแนนไม่เสร็จสิ้นก็ส่งกระเช้าดอกไม้มาแสดงความยินดีกับผมแล้วก็น่าจะเป็นการขอโหสิกรรมซึ่งผมก็เอาโหสิกรรมให้แล้วครับ

เห็นเหตุการณ์วันนี้แล้วก็นึกถึงว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมและชาวบ้านในวันนั้น จนผมได้ประกาศกับข้าราชการและตำรวจที่เข้ามาช่วยผู้ใหญ่ท่านนั้นว่า ถ้าวันนี้ล้มผมได้ ไม่เป็นไรเพราะผมอายุยังน้อยครั้งหน้าผมก็กลับมาสู้ใหม่ พวกท่านยังคงไม่เกษียณหรอกมั้งคงได้เจอกัน

นิทานก้อม เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชาวบ้านเขาฉลาดพอและรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดคนไหนหรือพรรคไหนที่เขาจะเลือก เขาเก็บไว้ในใจเพราะบางครั้งไม่กล้าบอกใครกลัวจะเป็นภัยกับตัวเองยิ่งอยู่ในภาวะที่ถูกกดดันหรือถูกควบคุมด้วยกฎระเบียบที่เคร่งครัดแล้ว ยิ่งยากที่จะรู้ความจริง มีอำนาจ มีเงินใช่ว่าจะชนะใจชาวบ้านได้ ต้องมีความจริงใจและมีผลงาน เป็นที่ยอมรับของชาวบ้าน

ชาวบ้านเขาบอกผมว่า “เงินเอา เหล้ากิน แต่จะทิ้งบัตรให้ใครอยู่ในใจเขาแล้ว”